Archive for พฤศจิกายน, 2006

แคชเมียร์ อีฟ ไอ แคน

พฤศจิกายน 26, 2006

1.
ว่ากันว่า “ชีวิตของคนที่เคยไปแคชเมียร์มาจะแบ่งออกเป็นสองช่วง
คือ ช่วงก่อนไปแคชเมียร์ กับหลังจากไปแคชเมียร์มาแล้ว”
ข้อความในเว็บไซด์บริษัททัวร์เขียนไว้อย่างนั้น
เป็นข้อความที่น่าคิด

หลายสถานที่และหลายสถานการณ์
ที่เราเดินผ่านแล้วเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
เราเปลี่ยน มิใช่สถานที่

อะไรทำให้ประโยคนั้นเกิดขึ้น?
‘ชีวิตหลังแคชเมียร์’ มีหน้าตาเป็นอย่างไร?
อาจต้องไปหาคำตอบด้วยตัวเอง

2.
ในมุมที่หนึ่ง
แคชเมียร์ เป็นดินแดนขอบประเทศที่วางตัวอยู่ระหว่างอินเดียกับปากีสถาน
เป็นชายแดนที่มีเรื่องรุนแรงอยู่เนืองๆ และยังคงเกิดขึ้นแก้เหงาเป็นระยะ

แคชเมียร์ เคยเป็นรัฐอิสระ แต่ใน ค.ศ. 1947 ปากีสถานก็เริ่มเข้ายึดหลายๆ จังหวัด
ในแคชเมียร์ไปได้ เป็นสาเหตุให้แคชเมียร์เริ่มหันไปซบอกอินเดีย
และรวมเข้าเป็นรัฐหนึ่งในอินเดีย แต่ก็นั่นแหละ ยังคงมีกลุ่มมุสลิมบางกลุ่มที่
ต้องการแยกตัวได้ประกาศสงครามศักดิ์สิทธิ์กับอินเดียซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวฮินดู
และเริ่มโจมตีมาตั้งแต่ปี 1989 และยังคงตอบโต้กันไปมา มีภาพประดับเลือดสีแดงให้เห็นเป็นระยะ

3.
ในมุมที่สอง
แคชเมียร์ เป็นเขตพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อแผ่นดินไหวรุนแรง
เดือนตุลาคม ปีที่แล้ว แผ่นดินก็เพิ่งขยับตัว วัดได้ 6.8 ริกเตอร์
(ศูนย์กลางวัดได้ 7.8 ริกเตอร์) ในเขตปากีสถานตึกสูงหลายหลังถล่ม
ในเขตอินเดีย(ตามข่าว)มีผู้เสียชีวิตสิบหกคน!

4.
ในมุมที่สาม
แคชเมียร์ เป็นสถานที่ในฝัน
เป็นสวิตเซอร์แลนด์แดนภารตะ
เป็นสวรรค์บนดิน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ยังคงความบริสุทธิ์
บริสุทธิ์เพราะเพิ่งเปิดเขตแดนให้คนนอกได้เข้าไปสัมผัส
บริสุทธิ์เพราะยังไม่เปิดตัวเองรับ ‘โลกใหม่’
เป็นความบริสุทธิ์ในมุมมองของนักท่องเที่ยว
เป็นนักท่องเที่ยวที่มักคาดหวังให้ประเทศอื่นๆ คงความบริสุทธิ์ไว้
แต่ประเทศของฉันนั้นต้องพัฒนาไปไกลๆ ให้ทันโลก

อยากสตัฟฟ์ประเทศที่ล้าหลัง
แต่ประเทศตัวเองต้องเร่งวุ้น เร่งสี เร่งโต

นับวัน ประเทศหรือดินแดนบริสุทธิ์ยิ่งหายาก
นับวัน ดินแดนในส่วนต่างๆ ของโลกยิ่งคล้ายกันไปหมด
ดินแดนที่ปิด(หรือเคยปิด)จึงมีเสน่ห์ชวนให้ค้นหา
อาจไม่ใช่แค่ต้องการไปสูดกลิ่นความบริสุทธิ์
แต่เป็นความรู้สึกโหยหา ‘ชีวิต’ ที่แท้จริง
‘ชีวิต’ พื้นฐาน ที่ดำรงชีพกับความจำเป็นจริงๆ เท่านั้น

อาจเพราะชีวิตคนเมืองใหญ่ ไม่ค่อยบริสุทธิ์
แต่รกรุงรังไปด้วยสิ่งเลอะเทอะเปรอะเปื้อน
นักเดินทางจากดินแดนพัฒนาจึงโหยหาความบริสุทธิ์
และความไม่พัฒนาเสียเหลือเกิน

เมื่อไปแล้วก็ไม่อยากกลับ
กลับมาแล้วก็ยังอยากกลับไปสัมผัสอีกครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่พอกลับมา ก็ยากที่จะใช้ชีวิตบริสุทธิ์ในเมืองที่รกรุงรัง

5.
ไม่ว่าฤดูไหน แคชเมียร์ก็สวย (ดูจากรูปและคำบอกเล่า)
ฤดูร้อน แคชเมียร์จะสพรั่งไปด้วยสีสันของทุ่งดอกไม้และสวนแบบโมกุล
ท้องฟ้าสีฟ้าสดขับยอดเขาหิมะสีขาวให้คมชัด

ฤดูหนาว แคชเมียร์จะถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนไปทั้งหุบเขา
น้ำในทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็ง สีขาวของหิมะห่มพื้นดิน
และเนินเขาเป็นเนื้อเดียวกับยอดเขาหิมะ ราวกับโลกเป็นสีขาว-ดำ
เป็นขาว-ดำที่สวย — สวยแบบเหงาๆ — สวยแบบหนาวๆ

แต่-ตามคำแนะนำ ไม่ควรไปแคชเมียร์ในฤดูหนาว
เพราะดีไม่ดีจะไปไม่ถึง!

การไปแคชเมียร์ต้องนั่งเครื่องบินไปลงที่เดลี
แล้วจึงต่อรถบัสไปยังแคชเมียร์ที่อยู่ทางด้านเหนือของอินเดีย
แต่!! ในฤดูหนาวหิมะพรำแบบนี้ มีสิทธิ์เป็นได้สูง
ที่ถนนจะถูกหิมะคลุม จนไม่สามารถเปิดให้รถวิ่งได้
และถ้าเหตุการณ์เป็นแบบนั้น ก็จะเหลืออีกทางเดียว
คือเครื่องบิน

ต้องนั่งเครื่องบินจากเดลี ไปลงยังเมืองศรีนาคา
ซึ่งก็ได้ยินมาว่า อาจจะบินหรืออาจจะไม่บิน
ตามแต่สถานการณ์ของท้องฟ้า

และถ้าทุกอย่างเป็นใจ ฟ้าเปิด ทางโล่ง
ก็ยังมีอีกหนึ่งสาเหตุที่จะกั้นขวางไม่ให้นักเดินทางไปถึงแคชเมียร์
คือ เหตุการณ์ความรุนแรงในบริเวณนั้น
ซึ่ง(ว่ากันว่า)ถ้ามีเสียงกระสุนดังขึ้นเมื่อไหร่
เขตแดนแคชเมียร์จะปิดทันที!

การเดินทางไป ‘สวรรค์บนดิน’ จึงไม่ง่าย
และใช่ว่า คิดอยากจะไป ก็จะได้ไปถึง

เป็นเรื่องของเหตุการณ์ ‘เฉพาะหน้า’
เป็นเรื่องที่ต้องไปลุ้นกันระหว่างทาง
แต่ถ้าคิดว่าจะไปไม่ถึง ก็คงล้มเลิกความคิดที่จะออกเดินทาง
บางที คงต้องออกเดินทางไปก่อน
อยากไปถึง แต่ถ้าไม่ถึงก็ไม่เป็นไร
เพราะว่าเมื่อได้เก็บกระเป๋าออกจากบ้านก็เท่ากับว่าได้ออกเดินทางแล้ว

บางทีก็ไม่ต้องไปถึง สวรรค์
แค่คิดจะไป สวรรค์ ก็มันส์แล้ว

ล่ำลากันชั่วคราวครับ
จะเดินทางไปสวรรค์ ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะไปถึงไหม
กลับมาอีกทีกลางเดือนหน้า
ถึงตอนนั้น คาดว่าจะได้รู้แล้วว่า ‘ชีวิตหลังแคชเมียร์’ เป็นอย่างไร?
คงรู้…ถ้า ‘สามารถ’ ไปถึงแคชเมียร์

Kashmir, if I can.

เพะชะ คุชะ: แบ่งตามาดูโลก

พฤศจิกายน 19, 2006

1.
“เพราะเชื่อว่า อาชีพสร้างสรรค์น่าจะขยันแบ่งปันความคิด”
พิธีกรในคืนวันนั้นไม่ได้พูดภาษาคลับคลาคำขวัญแบบนี้หรอกครับ
เราเอามาเรียงร้อยใหม่ แม้จะลิเกขึ้น แต่ใจความครบถ้วนครับ

ข้อความในฟันหนู คือต้นตอความคิดของการจัดงาน เพะชะคุชะไนท์ ขึ้น
ครั้งแรกจัดขึ้นที่โตเกียว แล้วก็แพร่ขยายไปหลายแห่งบนผิวโลก

คำว่า เพะชะคุชะ เป็นคำจำลองมาจากเสียงเม้าท์แตกของสาวญี่ปุ่น
ถ้าเป็นพี่ไทยอย่างเราคงใช้คำว่า ‘อีโล้งโช้งเช้ง’ หรืออะไรทำนองนั้น

2.
คนเยอะเหลือเชื่อครับ!
คนที่ยืนๆ นั่งๆ เดินๆ กันในงานก็ดูเป็นคนในวงการสร้างสรรค์ด้วยกันทั้งสิ้น
ผู้คนที่เคยปรากฎหน้าปรากฎตาตามหน้านิตยสารและผู้ที่อยู่เบื้องหลังนิตยสารหลายเล่ม
ก็ด้อมๆ ยืนๆ อยู่ในงานมิใช่น้อย จินตนาการเอาไว้ว่าจะเป็นงานเล็กๆ น่ารักๆ
ในวงเล็บว่า (คงจะเงียบๆ) แต่เอาเข้าจริงแล้วกลับได้รับความสนใจเกินคาด!
(เอ่อ…หมายถึงคาดการณ์ของเรา) แต่คนเยอะ งานใหญ่ ก็ใช่ว่าจะไม่น่ารัก

งานเพะชะคุชะน่ารักมากครับ

บรรยากาศเป็นกันเอง ใกล้ชิด เหมือนเพื่อนมาเล่าความคิดให้เพื่อนฟัง
เอา ‘ของดี’ มาแบ่งปันกัน แบบไม่หวง
ซึ่ง ‘ของ’ ของแต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่น่าสนใจทั้งนั้น
งานกระชับ รวดเร็ว ไม่เยิ่นเย้อ ขนาดกระชับแบบนี้ยังจบลงเกือบห้าทุ่ม!
แหม…ก็ ‘ของ’ มันเยอะ

3.
เหมือนได้เข้าไปเยี่ยม ‘โลก’ ของผู้ที่นำของมาอวด
ยี่สิบคนก็ยี่สิบโลก
ยี่สิบโลกก็ยี่สิบมุมมอง
ยี่สิบมุมมองก็มียี่สิบความงามที่แตกต่าง

ปวลี จิระกรานนท์-เสนอไอเดียซีดีดนตรีเพื่อวัว ไก่ และต้นไม้ที่ตั้งชื่อได้เก๋ไก๋ทุกแผ่น
พีรพัฒน์ กิตติสุวรรณ-อวดงานแอนิเมชั่นผสมวาดสด (เจ๋งมาก)
เศรษฐพงศ์ โพวาทอง-อวดงาน ‘ปะติด’
ธรรมนูญ ใหม่พิมพ์-มองเมฆบนท้องฟ้า เป็นตัวอักษร
ไผทวัฒน์ จ่างตระกูล-ชวนมาช่วยกันคิดว่าจะแปลงกระดาษให้เป็นอื่นได้ไง
ตรัย ภูมิรัตน- อวดภาพถ่าย ผสมเพลงเพราะเกี่ยวกับ ความเหงา (เสียงชวนละลาย)
ธวัช พันธุ์เจริญลักษณ์-อวดตุ๊กตาตัวเหลี่ยม (ชอบครับ)
ชลธร โพธิ์ทอง-อวดความงามของเงา
พงศ์ธร วชิรโภคา-บอกว่า แพงหรือถูก เราเลือกได้ (ตลกดี ชอบครับ)
จุฑารัตน์ พรมุณีสุนทร-ชวนมองความงามในตัวผู้หญิง (ชอบจังครับ)
คันถ์ชิต วณิชดิลกกุล-เสนอความคิดคันๆ กวนๆ ยวนๆ (ฮามาก)
จักรกฤษณ์ อนันตกุล-ความงามของเขาคือความไม่สมบูรณ์แบบ
ธัญสก พันสิทธิวรกุล-ภาพถ่ายอีกมุมของโตเกียว (พี่จริงใจมากครับ ชอบ)
คมสัน นันทจิต-อวดแผ่นเสียงเพลงเก่า (เสียงดายจังที่เสียงกระตุก)

ไม่ครบทั้งยี่สิบคนครับ
ชอบหลายชิ้นที่ทดเอาไว้
โดยเฉพาะการได้เห็นมุมมองของคุณจุฑารัตน์ ในการมองความงามของผู้หญิง
ผู้หญิงธรรมดาๆ ที่ถูกมองผ่านเลนส์กล้องของเธอ ชวนให้เรารู้สึกว่าสวย
หลังจากคืนนั้น เรามองผู้หญิงเปลี่ยนไป(น่าจะอีกสักระยะหนึ่ง)
เห็นความสวยที่ไม่เคยเห็น อืม…ผู้หญิงนี่สวยทุกคนจริงๆ (ฮ่าฮ่า!)

ความคิดของแต่ละคนเหมือนไม้ขีดไฟที่สามารถเก็บไปจุดประกาย
ให้ลุกไหม้เป็นแรงบันดาลใจได้มากมาย

การได้รู้มุมมองของคนอื่น ชวนให้เรามองโลกอีกแบบ
ได้หัดมองในมุมที่คนอื่นมอง
ได้เห็นความสวยของโลกในมุมอื่นบ้าง
กลับบ้านคืนนั้น โลกสวยขึ้นอีกยี่สิบเท่า

กระทั่งความไม่สมบูรณ์แบบก็ยังงาม!
(ตามสายตาของคุณ จักรกฤษณ์)

4.
ครับ-เราได้ตากลับบ้านมาอีกสี่สิบดวง
ได้ความคิด และไม้ขีดไฟกลับบ้านมาหลายก้อนและหลายก้าน

และเราก็เชื่อหมดใจว่า
“อาชีพสร้างสรรค์น่าจะขยันแบ่งปันความคิด”

แต่-ไม่เฉพาะอาชีพสร้างสรรค์หรอกละมัง
คนเราน่าจะขยันแลกเปลี่ยนความคิดกัน
โลกยังมีมุมอีกเยอะ
น่าเสียดาย-ถ้าเราจะมองมันด้วยตาแค่สองดวง.

มีอีกเยอะครับ ที่…
http://www.pechakuchabangkok.com

โลมา: เราไม่ได้รักกันที่เงิน

พฤศจิกายน 18, 2006

1.
ไปดู ‘โลมา’ มาครับ!
‘โลมา’ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่บังเอิญยังอยู่ในทะเล
ก็เลยถูกเหมาว่าเป็น ‘ปลา’ แต่จริงๆ แล้วมิใช่ มิช่าย…
‘โลมา’ ก็คือ ‘โลมา’ อย่ามาหาว่าโลมาเป็นปลาเด็ดขาด
เพราะ ‘โลมา’ เป็นสัตว์น้ำเพื่อนๆ กับ ‘วาฬ’ และ ‘พยูน’
สังเกตได้จากครีบหาง ซึ่งจะไม่ได้ตั้งฉากกับผิวน้ำเหมือนบรรดาสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘ปลา’
แต่จะวางตัวขนานไปกับผิวน้ำ ทั้งนี้ก็เพราะสัตว์น้ำเลี้ยงลูกด้วยนมเหล่านี้
หายใจด้วยจมูก หรือ รู ที่อยู่เหนือหัวมันนั่นเอง มันจึงต้องใช้ครีบหางสะบัดขึ้นลงเหมือนนักว่ายน้ำ
เวลาว่ายท่าผีเสื้อ (ไม่เข้าใจเหมือนกันทำไม่ไม่เรียกท่านี้ว่า ‘ท่าพยูน’ มันเหมือนผีเสื้อตรงไหน?)
เพื่อที่จะทะลึ่งตัวขึ้นมาหายใจโดยใช้รู(จมูก)ที่อยู่เหนือกบาลมันสูดออกซิเจนเข้าไป
และพ่นคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา

จริงๆ แล้วตามตำราเขาบอกว่า มันหายใจด้วยปอด
แต่เราคิดว่า ไอ้รูที่เจาะอยู่บนหัวของมันก็น่าจะอนุโลมเรียก ‘จมูก’ ได้
ไอ้ครั้นจะเรียกว่า ‘รูปอด’ ก็ฟังดูเหมือนเป็นโลมาขี้ยาปอดทะลุยังไงก็ไม่รู้
เอาเถอะ! จะเรียกอะไรก็แล้วแต่ แต่ที่แน่ๆ มันไม่ได้หายใจด้วย ‘เหงือก’
เหมือนบรรดาปลาๆ เป็นแน่

2.
โลมา อยู่ใกล้กรุงเทพฯ เหลือเชื่อ!
ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็เดินทางไปถึง ต.ท่าข้าม อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา
บ้านของโลมาอยู่ที่นั่น-ที่ปากอ่าว บริเวณรอยเชื่อมต่อระหว่างแม่น้ำกับทะเล
ที่ที่ว่ากันว่า ปลาชุม!

3.
มีโอกาสไปเป็นส่วนหนึ่งในกองถ่ายรายการ TK Teen ทางช่องสิบเอ็ด
(รายการนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องกับ TK Park-อุทยานการเรียนรู้)
ซึ่งนับว่าเป็นโชคดีที่ไปกับรายการทีวี ทำให้มีโอกาสรับฟังข้อมูลดีดีจากคุณลุงคนขับเรือ

“เจ้าหน้าที่รัฐพยายามชักชวนให้ชาวบ้านรักโลมา และพยายามรักษาเค้าไว้
โดยให้เหตุผลว่า ถ้ามีโลมาเยอะๆ ก็จะมีนักท่องเที่ยวมาที่นี่เยอะ และจะได้
มีเงินไหลมาเทมายังชุมชนของพวกเรา”

ลุงหยุดหายใจ เหมือนโลมาโงหัวขึ้นมาสูดอากาศ

“แต่ชาวบ้านเค้าไม่สนกันหรอก โอย…นักท่องเที่ยวจะมีมากันซักกี่คน
เราไม่ได้รักพวกเค้า(โลมา)เพราะว่าจะมีนักท่องเที่ยวมาดู แต่พวกเราชาวประมง
รู้ดีว่าพวกเค้า(โลมา)สำคัญกับพวกเรา ถ้าช่วงไหนไม่มีโลมา
พวกเราก็เตรียมตัวแย่ได้เลย เพราะถ้าไม่มีโลมาก็แปลว่าช่วงนั้นปลาไม่มี
แต่ถ้าช่วงไหนพวกเค้ามากันเยอะ ก็แปลว่าหน้านั้นปลาชุม”

“ถ้าไม่มีโลมา พวกเราออกหาปลากันยาก เพราะไม่รู้ว่าปลาไปอยู่กันที่ไหน
แต่ถ้ามีฝูงโลมาล่ะก็ไม่เคยพลาด ตรงไหนที่พวกเค้าว่ายวนกัน
วางแหไปล่ะก็ได้ปลาเยอะ ไม่เคยพลาดเลย”

“เพราะอย่างนี้ ชาวบ้านแถวนี้ไม่มีใครทำร้ายเค้าเลย ใครทำร้ายใครฆ่าโลมา
ต้องมีอันเป็นไป ไม่มีเจริญซักราย เคยมีคนนึงดักปลาไว้ได้เยอะเลย
แล้วไปทำร้ายเค้าเข้า ปรากฏว่าแหที่วางไว้โดนกัดเป็นรู ปลาออกไปหมดเลย
วันนั้นไม่ได้อะไรกลับบ้าน”

“หรือมีคนไปฆ่าโลมา ตอนนี้ชีวิตก็ไม่เจริญเลย”

“ปกติ โลมาไม่ดุร้าย ไม่เคยทำร้ายคน ก็แปลกดี เวลาคนทำร้ายเค้า เค้าก็เอาคืน”

คุณลุงเล่าเรื่องให้ฟังระหว่างที่เรือกำลังวิ่งขนานไปกับฝูงโลมาน่ารักน่าชัง
ที่กำลังกระโดดบ้าง ทะลึ่งตัวหายใจขึ้นมาบ้าง สลับกันไป
เสียงฟืดฟาดของลมหายใจแห่งชีวิตดังก้องเหนือผิวน้ำ

“ที่เห็นกระโดดตัวลอยนั่น แปลว่ากำลังจะผสมพันธุ์ ว่ายเฉยๆ ไม่ทันตัวเมีย
ก็เลยต้องอาศัยกระโดดไล่เอา” ลุงพูดแล้วยิ้มกว้าง

“วันนี้โชคดีนะ โลมาเยอะมากๆ ลุงไม่เคยเห็นเยอะขนาดนี้เลย”

คนในทีมงานพูดขึ้นมาว่า
“หรือโลมามันก็โผล่ขึ้นมาดูพวกเราเหมือนกัน เฮ้ย! คนเว้ย คนมา”

4.
เห็นน่ารักๆ แบบนี้ แต่ในระบบห่วงโซ่อาหาร โลมาถือเป็นผู้บริโภคระดับบน
กินปลา(ดุก)เป็นอาหาร ช่วยควบคุมประชากรปลาเล็กๆ และกำจัดปลาที่อ่อนแอ
ไม่ให้มีโอกาสสืบสายพันธุ์ต่อไป เหมือนเสือกินกวางเพื่อรักษาสมดุลป่า
โลมากินปลาเล็กๆ ก็เพื่อรักษาสมดุลให้กับท้องทะเล และมันก็ต้องพลีกาย
ตกเป็นอาหารของนักล่าที่ใหญ่และดุกว่าต่อไป อย่าง ฉลาม
เป็นการส่งถ่ายพลังงานกันเป็นทอดๆ (ไม่ได้หมายถึงโลมาทอด!)

5.
โลมา จึงไม่ได้ดำรงอยู่บนโลกเพื่ออวดความน่ารักของเรือนร่างให้คนมามุงดู
และเพื่อให้คนที่มามุงดูนั้น ขนเงินมาใช้ถมทะเลใสๆ ให้เอ่อล้นไปด้วย ‘รายได้’
แต่ความน่ารักของโลมาอยู่ตรงที่มัน(เค้า)เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ส่วนหนึ่งของชุมชน เป็นเพื่อนกับชาวบ้านชาวประมง และเป็นหนึ่งเดียวกับ
ชีวิตหลากหลายในท้องทะเล ที่ต่างทำหน้าที่ให้ทุกชีวิตเกิดความสมดุล
มิตินี้ต่างหากที่ทำให้โลมา น่า ‘รัก’ — น่าที่จะรัก

หลายครั้งหลายหน ที่ผู้มีอำนาจหรือเจ้าหน้าที่รัฐผู้รักการส่งเสริมการท่องเที่ยว
เสียเต็มประดา พยายามส่งเสริมชุมชนให้พัฒนา หรือมีโครงการนำรายได้เข้าสู่ชุมชน
โดยมองการพัฒนาจากระยะไกล จากภายนอก เป็นมุมมองจากนอกสู่ใน
โดยไม่ได้ลงไปสัมผัสชีวิต ความคิด และความเชื่อของคนในชุมชน
และผลก็มักจะเป็นเช่นนี้ นี่ก็อีกหนึ่งโครงการที่พยายาม ‘แปลงโลมาให้เป็นทุน’

มองโลมาราวกับสิ่งไม่มีชีวิต และไม่มีการเชื่อมโยงกับชีวิตรอบๆ ตัวโลมา
ทั้งๆ ที่ทุกสิ่งทุกอย่างทุกชีวิตในโลกใบนี้ล้วนมีความหมายในการดำรงอยู่
มีความหมายตรงที่เราต่างดำรงอยู่เพื่อสิ่งอื่น เพื่อคนอื่น
ไม่มีใครอยู่อย่างโดดเดี่ยว เราล้วนเชื่อมโยงกับชีวิตอื่นทั้งสิ้น

การไม่มีโลมา ย่อมกระทบกับอีกหลายชีวิต
และผลกระทบนั้นย่อมรุนแรงกว่าแค่การขาดรายได้!

โลมาจึงควรเป็นโลมา และไม่มีใครควรใช้อภินิหารไปแปลงโลมาให้เป็นทุน!

โดยปกติ เราไม่ได้พิสมัยโลมามากมายอะไรไปกว่าลูกหมาน่ารักๆ ตัวหนึ่ง
และหากเรามองโลมาจากจอทีวี หรือบนเวทีการแสดงในสวนสัตว์สมัยใหม่
ก็คงไม่ได้คลั่งไคล้อะไรมากไปกว่าการยิ้มหรือตบมือให้ในความแสนรู้ของมัน

แต่วันนี้ ที่ทะเล
เรากลับเห็นว่าโลมาน่ารักมาก
น่ารักกว่าคนอีกหลายคนที่หายใจด้วยปอดเหมือนมัน
แต่ดันหายใจเข้า-ออกเป็นเงิน.

คนข้างหลัง กับ รางวัลระหว่างทาง

พฤศจิกายน 18, 2006

ฤดู B.A.D. awards ใกล้เข้ามาแล้วครับ
BAD ไม่ได้แปลตรงตัวว่า เลว
ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงครับ แบดอะวอร์ดส์ จัดขึ้นมาเพื่อมอบรางวัลให้กับผู้มีผลงานยอดเยี่ยม
ในวงการโฆษณาเมืองไทย ในหลายๆ แขนง ทั้งหนังโฆษณา, สื่อสิ่งพิมพ์, สปอตวิทยุ, กราฟิกดีไซน์, ฯลฯ

B.A.D. ย่อมาจาก Bangkok Art Director หรือสมาคมผู้กำกับศิลป์แห่งบางกอกนั่นเอง
ยังไม่เคยเห็นงานจากขอนแก่น, แม่ฮ่องสอน, หรือยะลา ส่งมาประกวดประชันเหมือนกันครับ
ไม่รู้ว่าจะสามารถมาร่วมสนุกกับสมาคมนี้ได้รึเปล่า?

คนในวงการโฆษณาจะรู้กันครับว่า ฤดูแบดพวกเราจะต้องขยันให้มากขึ้น
ยิ่งเข้าสู่ช่วงใกล้ส่งรางวัล ก็ยิ่งต้องขยันและเหนื่อยกว่าปกติ
เพราะเราต้องเตรียมงานทั้งหลายเพื่อส่งเข้าประกวด
ขึ้นชื่อว่า ‘งานประกวด’ ไม่ว่าจะเป็นนางสาวไทยหรืองานโฆษณาก็ไม่ต่างกัน
ทุกคนก็ต้องขัดสีฉวีวรรณให้ผุดผ่องก่อนส่งขึ้นเวที ไม่ให้ขายหน้าประชาชี
และจะได้มีรางวัลติดไม้ติดมือกลับมาให้ภูมิใจเล่นกันบ้าง

หากจะแบ่งจำพวกมนุษย์ในงานโฆษณา(ช่วงประกวด)ออกเป็นสองประเภท
เราขออนุญาตแบ่งเป็น หนึ่ง, พวกที่ได้หน้า และสอง, พวกปิดทองหลังพระ
หรือเรียกให้ถูกควรจะเรียกว่าปิดทองหลังครีเอทีฟ!
เพราะมนุษย์จำพวกแรกย่อมเป็นครีเอทีฟและดีไซเนอร์เจ้าของชิ้นงาน
ที่จะมีโอกาสได้ขึ้นเวทีไปรับรางวัลท่ามกลางสปอตไลท์สาดส่อง
อย่างที่รู้กันดีว่า ยิ่งมีรางวัลประดับประวัติมากเท่าไหร่ ‘ค่าตัว’ ก็จะยิ่งสูงตาม
ไม่ต่างจากนักฟุตบอลหรือนักมวยที่ครองแชมป์มาหลายถ้วยหลายเข็มขัด

ส่วนพวกปิดทองหลังพระจะไปได้อะไร?
นอกจากความภูมิใจที่ได้ทำงานให้เสร็จลงได้ด้วยดี
มนุษย์จำพวกนี้อยู่ในตำแหน่ง โปรดิวเซอร์, ซาวน์เอ็นจิเนียร์, พี่ในห้องคอมฯ,
พี่ที่ช่วยพรินต์งาน, เลขาฯ ที่คอยส่งงาน, พี่ที่ช่วยติดต่อโรงพิมพ์, ฯลฯ
คนเหล่านี้ไม่มีชื่อในใบสมัครส่งประกวด ไม่มีโอกาสดัง และไม่มีโอกาสได้ค่าตัวเพิ่ม

ใบสมัครงานประกวดมีช่องให้กรอกเพียงชื่อเอเจนซี่, ครีเอทีฟ/ดีไซเนอร์,
ช่างภาพ/ผู้กำกับ, โปรดิวเซอร์(ที่ไม่ค่อยมีคนอ่าน), ผู้ตัดต่อ, ผู้ตกแต่งภาพ อะไรทำนองนี้
ไม่มีพื้นที่ให้คนที่อยู่เบื้องหลัง หากจะมีก็คงเป็นด้านหลังของใบสมัคร
ด้านหลัง-ที่ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครได้รับรู้!

ไม่เฉพาะในวงการโฆษณาหรอกกระมัง
โลกนี้หากแบ่งง่ายๆ ย่อมมีคนสองส่วน
เบื้องหน้า กับ เบื้องหลัง

เพิ่งกลับมาถึงบ้าน(เกือบตีสอง)เพราะไปรอดูปรู๊ฟงานที่จะส่งประกวด
นั่งรอนั่งสัปหงกอยู่กับอาร์ตไดเร็กเตอร์คู่ใจ ลำพังเราทั้งคู่นั้นไม่เป็นไร
เพราะเป็นหน้าที่ที่จำเป็นจะต้องไปอยู่แล้ว แต่พี่โปรดิวเซอร์อีกคนที่มานั่ง
หลังขดหลังแข็งอยู่ด้วยกันและช่วยติดต่อประสานงานต่างๆ นานาสารพัด
ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานชิ้นนี้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับมาดูแลให้เต็มที่
อะไรทำให้เค้าทำแบบนั้น?

“ความสนุกของโปรดิวเซอร์คืออะไรครับพี่?” เราถามเค้าขณะที่รองาน
“ได้แก้ปัญหาไง” เค้าตอบหน้าตาเฉย และวันนี้ปัญหาที่เราเจอก็มากมายเหลือเกิน
มากมายจนล้นเวลางานมาจนถึงห้วงยามนี้ แต่เค้าก็ยังนั่งแก้มันอยู่กับพวกเรา

หลายครั้งในวงการนี้ที่เราทำงานแล้วนึกภาพเห็นตัวเองบนเวที ไฟส่องสว่าง
อยากขึ้นไปรับรางวัล อยากมีชื่อในหนังสือรวบรวมรางวัลโฆษณา

สิ่งที่ครีเอทีฟทุกคน(ที่ส่งประกวด)ให้ความสนใจ คือ การใส่ ‘เครดิต’
เป็นเรื่องซีเรียส หากใครที่ทำงานมาด้วยกันแล้วลืมใส่ ‘ชื่อ’ เพื่อน
ลงไปในช่อง ‘เครดิต’ นั่นถือเป็นข้อผิดพลาดครั้งใหญ่ของชีวิต!
บางคนอาจโกรธขึ้นขั้นเลิกคบ!

‘เครดิต’ เป็นเรื่องซีเรียสมากๆ

แต่เหตุการณ์ในวันนี้ชวนให้คิดว่า จริงๆ แล้วข้างล่างเวที
ยังมีคนที่พร้อมจะทำงานอย่างเต็มที่โดยไม่สนใจช่องใส่ ‘เครดิต’
พร้อมจะทำงานไปด้วยกันกับเรา โดยยินดีที่จะอยู่ข้างหลังของแผ่นรายชื่อทีมงาน
ไม่ต้องการให้ใครรู้ ไม่จำเป็นว่าใครต้องเห็นว่าเป็นผลงานของฉัน
ฉันทำมันผ่านไปได้ด้วยดี ฉันก็พอใจแล้ว

ผู้อยู่เบื้องหน้าทุกคนย่อมมีผู้อยู่เบื้องหลัง
เหตุการณ์วันนี้ชวนให้ตั้งคำถามต่อผู้โด่งดังมีหน้ามีตาทั้งหลายที่เรารู้จัก
ว่า ‘คนข้างหลัง’ ของพวกเขาคือใครบ้าง?

ดีไม่ดี ในบางวงการ คนข้างหลัง อาจเป็นเนื้อเป็นหนังกว่า คนข้างหน้า ด้วยซ้ำ
แต่ก็นั่นแหละ เราเกิดมาเพื่อทำหน้าที่คนละอย่าง และคงไม่มีใครวิเศษกว่าใคร
เพียงแค่คิดถึงนิยามคำว่า ‘ทีม’ ว่ามันกินความกว้างไปถึงไหน
เรานับใครเป็น ‘ทีม’ กับเราบ้าง?

โดยไม่ต้องสนใจช่องใส่เครดิตในใบสมัครส่งรางวัล
เราเองนั่นแหละที่เคยใส่ ‘คนข้างหลัง’ เหล่านี้ลงในช่องเครดิตในใจบ้างรึเปล่า?

อาร์ตไดเร็กเตอร์คู่ใจที่ทำงานเหนื่อย(กว่าเรา)มาตลอดสองเดือน
บ่นอย่างปลงๆ ถึงชะตากรรมของชิ้นงานที่เต็มไปด้วยปัญหาชิ้นนี้
“ไม่รู้ว่าจะได้รางวัลรึเปล่าเนอะพี่ ทำแทบตาย”
ก็ได้แต่ยิ้มๆ กันไป ในใจคงคิดได้อยู่แล้วว่า ไม่มีอะไรแน่นอนในโลกของการประกวด
การประกวดก็เป็นแค่ความเห็นของคนกลุ่มหนึ่ง-คนที่เราคาดเดาไม่ได้!

หลายคนชอบพูดกันว่า รางวัลในงานประกวดโฆษณาเป็นของมายา
สร้างขึ้นมากันเอง ภูมิใจกันเอง แม่ค้าปาท่องโก๋เค้าก็ไม่ได้ร่วมชื่นชมด้วย
แต่เราชอบ และคิดว่ามันเป็นอุบายอันหนึ่งที่สร้างแรงขับเคลื่อนให้คนในวงการ
หมั่นพัฒนาความคิดและชิ้นงานอยู่เสมอ วงการโฆษณาเมืองไทยจึงไม่เคยหยุดนิ่ง

หากจัดการประกวดปาท่องโก๋กันบ้าง เราอาจได้ปาท่องโก๋ที่อร่อย
และหลากหลายกว่าที่เป็นอยู่ได้อีกล้านแปด

ใช่-มันอาจจะเป็นมายา แต่ในนั้นก็มีอะไรที่เกิดขึ้นจริง
และสิ่งที่จริงยิ่งกว่านั้น คือความทุ่มเทของทุกฝ่ายเพื่อที่จะให้ผลงานออกมาดีที่สุด
แน่นอน-เรื่องประกวดประชัน ใครจะยอมกันง่ายๆ

และนั่นเองมิใช่หรือ คือ รางวัลของทีมที่ทำร่วมกัน
รางวัลที่อีกฝ่ายได้แสดงความเต็มที่เพื่ออีกฝ่าย
คนคนหนึ่งได้ทำทุกอย่างสุดฝีมือเพื่อประกอบร่างให้งานออกมาดีที่สุด
นั่นย่อมไม่ใช่มายาภาพ นั่นย่อมเป็นจริงยิ่งกว่าจริง

วันจันทร์เป็นวันตัดสิน B.A.D. awards
งานที่ทุ่มเทตั้งใจทำกันมาทุกชิ้นจะถูกคัดเหลือเพียงไม่กี่ชิ้นที่ได้รับรางวัล
มีคนไม่กี่คนที่จะได้เดินอาดๆ มาดเท่ขึ้นเวที ให้ไฟส่องหน้าเล่น
ในความมืดด้านล่างเวที ย่อมมีรอยยิ้มจากซี่ฟันขาวๆ ของ ‘คนข้างหลัง’
ร่วมภูมิใจอยู่ในสถานที่นั้นด้วย (โดยไม่จำเป็นต้องได้ยินชื่อตัวเองถูกประกาศออกลำโพง)

เราไม่ได้เอ่ยปากอะไรกับอาร์ตไดเร็กเตอร์คู่หู เรื่องได้หรือไม่ได้รางวัล
ทั้งที่ก็นึกกรุ้มกริ่มเอาไว้ในใจว่า ที่จริง, วันนี้เราได้รางวัลกันไปแล้ว
รางวัลที่ ‘คนข้างหลัง’ มอบให้แก่กัน สิ่งนั้นคือความทุ่มเทโดยไม่หวังอะไร
ก่อนขึ้นสู่ทุกเวทีย่อมมีรางวัลระหว่างทางเสมอ
เมื่อไหร่ที่เราเผลอ มันจะแสดงตัวให้เห็น.

ไรน์โฮลด์ เมสเนอร์: ผู้หิวกระหายความเป็นไปไม่ได้

พฤศจิกายน 17, 2006

ชอบคำพาดหัว ‘ฆาตกรรมความเป็นไปไม่ได้’ ในเนชั่นแนล จีโอกราฟิกมากๆ
สวย สะใจ ได้อารมณ์ สมศักดิ์ศรีที่จะมาวางอยู่ข้างๆ ใบหน้ากร้านด้วยรอยแห่งเวลา
และแววตาสีเหล็กที่มุ่งมั่นของนักปีนเขาที่สามารถพิชิตยอดเขาสูงกว่าแปดพันเมตร
ได้ครบทั้งสิบสี่ยอด

สิบสี่ยอดนะครับ! ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกทั้งสิบสี่ยอดนะครับ!
(มีบรรทัดนี้ไว้เผื่อใครที่อ่านย่อหน้าแรกแล้วไม่รู้สึกอะไร จะได้ตกใจอย่างที่ควร)

เสน่ห์อย่างหนึ่งของสารคดีใน เนชั่นแนล จีโอกราฟิก คือ การลำดับเรื่อง
และการเล่าเรื่องด้วยภาพ ซึ่งภาพของนิตยสารฉบับนี้นั้น
ไม่ต้องห่วงเรื่องความงามและอารมณ์ รับรองว่า ‘ถึง’ ทุกภาพ
คัดมาแล้วทุกภาพ!

จากหน้ากระดาษที่บรรจุแววตามุ่งมั่นอันโชกโชน พลิกผ่านไปอีกหนึ่งหน้า
เราจะได้เห็นรอยยิ้มของเขาเหนือยอดเอเวอร์เรสต์ ที่เขาปีนขึ้นไปคนเดียว(!)
สำเร็จในปี หนึ่งพันเก้าร้อยแปดสิบ และเมื่อพลิกถัดมาอีกหน้า
เราก็จะพบกับรูปถ่าย ‘เท้า’ ในระยะใกล้ (Close Up)-ใกล้มาก!
ใกล้พอที่จะทำให้เราเห็นร่องรอยของการถูกตัดนิ้วเท้าออกไปเจ็ดนิ้ว!
ถ้าไม่มีตัวหนังสือบอกไว้ เราอาจเข้าใจว่ามันถูกตัดออกจนหมดด้วยซ้ำ
เท้าของไรน์โฮลด์ เมสเนอร์ไม่ต่างอะไรกับเท้าช้างที่มีนิ้วกุดๆ เลยจริงๆ

หากอยากเข้าใจความยิ่งใหญ่ของไรน์โฮลด์ เราอาจต้องรับทราบสถิติอันบ้าบิ่นของเขาเสียหน่อย
ปี 1975 เขากับเพื่อนคู่หูขึ้นสู่ยอดเขาฮิลเดนพีก (8,068 เมตร)
โดยปราศจากอุปกรณ์ปีนเขาสูงที่ใช้กันตามปกติ ทั้งลูกหาบ แคมป์ เชือก และออกซิเจน
ปี 1978 ทั้งคู่พิชิตเอเวอร์เรสต์ (8,850 เมตร) โดยไม่ต้องใช้ออกซิเจน
จากนั้นอีกสามเดือน ไรน์โฮลด์ปีนยอดเขานังกาพาร์บัตที่สูงอันดับเก้าของโลกเพียงลำพัง
ซึ่งนับเป็นเรื่องบ้าบิ่นเอามากๆ ในวงการปีนเขา และหลังจากนั้นอีกสองปี
เขาก็ปีนเดี่ยวขึ้นยอดเอเวอร์เรสต์โดยไม่ต้องใช้ออกซิเจนและมีเพียงเป้เล็กๆ หนึ่งใบ!
ทั้งหมดนี่เป็นแค่ฉบับย่อนะครับ

“ผมสนใจแต่ประสบการณ์ครับ ไม่ได้สนใจภูเขาหรอก…
วิลเลียม เบลก เคยเขียนไว้ว่า เมื่อมนุษย์เผชิญหน้ากับภูผา เรื่องยิ่งใหญ่นานาจะบังเกิด”

“ถ้าเราตัดถนนขึ้นยอดเขาเอเวอร์เรสต์ เราจะไม่มีทางได้พบกับภูผา
ถ้าเราเตรียมการทุกอย่างและมีคนนำทางที่คอยดูแลความปลอดภัยให้
เราจะไม่มีวันได้พบกับภูผา การพบและเป็นหนึ่งเดียวกับภูผาเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ
คุณ…เผชิญหน้ากับมันด้วยขีดจำกัดของตัวเอง”

ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้หรือเปล่า ที่ทำให้ไรน์โฮลด์ ‘ตัด’ ทุกสิ่งอออกจากตัว กระทั่งคู่หู!
เพื่อให้เหลือเพียง ‘เขา’ กับ ‘ภูเขา’ เท่านั้น

หลังจากได้ดูแผนภูมิ ‘ความสำเร็จในแนวดิ่งของเมสเนอร์’ ใน NG
เราไม่อยากเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่มนุษย์คนหนึ่งกระทำในเวลาสิบเจ็ดปี
สิบเจ็ดปีระหว่างที่คนอื่นๆ เดินบนพื้นราบและไต่ขึ้นสู่จุดสุดยอดในตำแหน่งหน้าที่การงาน
แต่ไรน์โฮลด์ เมสเนอร์เลือกที่จะเดินเล่นอยู่บนหลังคาโลก!

ในจำนวนยี่สิบเก้ายอดที่เขามุ่งหมายจะปีนป่ายขึ้นไปพิชิต ย่อมมีบ้างที่ล้มเหลว
สิ่งที่บ้าคลั่งกว่านั้นคือ เขาสามารถกลับไป ‘แก้แค้น’ ยอดที่พิชิตไม่ได้ จนสำเร็จทุกยอด!
แพ้และกลับไปชนะ!
เขาไม่เคยพ่ายแพ้แก่ยอดเขาไหนเป็นการถาวร สุดท้ายแล้วมันก็อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาจนได้

แต่ที่จริงแล้ว เขาอาจไม่ได้คิดเรื่องชนะหรือแพ้?

“ผมคิดว่าควมกล้าหาญเป็นแค่อีกด้านหนึ่งของความกลัวเท่านั้น
เพราะเราจะต้องการความกล้า เมื่อเรารู้สึกกลัว”

“แต่ถ้าผมเตรียมตัวอย่างดี…
เมื่อถึงเวลาลงสนามจริงๆ โดยเฉพาะตอนที่อยู่บนหน้าผากว้างใหญ่
ไม่ว่าจะลำบากมากน้อยแค่ไหน ผมก็จดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจนลืมเรื่องอื่นๆ ไปหมด
ในเวลานั้น มีเพียงผาเบื้องหน้าไม่กี่เมตรที่ผมกำลังห้อยตัวหรือปีนอยู่ ทุกอย่างดูมีเหตุผล
ไม่มีอันตรายอะไร มีเพียงสมาธิอันแน่วแน่เท่านั้น”

ไม่มีคำว่า ‘พิชิต’, ‘แพ้’ หรือ ‘ชนะ’
ฟังดูเหมือนเมื่ออยู่ในระหว่างการปีนเขา คนเรามีหน้าที่ปีนต่อไป ก็เท่านั้น
และสิ่งที่ต้องใส่ใจคือนาทีปัจจุบัน มากกว่าจะไปจินตนาการฟูมฟายถึง ‘ยอดเขา’
หากมัวแต่จินตนาการถึง ‘ยอด’ อาจไม่เหลือชีวิตรอดเพื่อที่จะไปถึง
การขึ้นไปถึง ‘ยอด’ อาจไม่ใช่อะไรที่ต้องคิด แต่เป็นอะไรที่มัน ‘ต้องเป็นไป’
หากใครสักคนมุ่งมั่นปีนขึ้นไปไม่หยุดหย่อน โดยใช้ทุกนาทีระหว่างทาง
ด้วยความระมัดระวัง เต็มที่ และมีสติ

ดูเหมือนจะไม่ใช่ ‘ยอดเขา’ ที่ไรน์โฮลด์พิชิต
สิ่งที่เขาพิชิตและฆาตกรรมมันทิ้งไปคือ ‘ความเป็นไปไม่ได้’ ต่างหาก!

‘ความเป็นไปไม่ได้’ มีไว้ให้ฆาตกรรม
แต่ไม่ควร ‘ฆาตกรรม’ มันทิ้งไปอย่างมักง่าย
ทำแบบนั้นมันน่าเสียดาย
เพราะ ‘ความเป็นไปไม่ได้’ ไม่ได้หากันง่ายๆ ตามท้องถนน

เขาเคยเขียนเรียงความเรื่อง ‘ฆาตกรรมความเป็นไปไม่ได้’
เพื่อวิพากษ์วิธีการตอกหมุดเพื่อปีนขึ้นสู่ยอดเขา
ที่ทำให้นักปีนเขามือใหม่ก็สามารถพิชิตยอดเขาได้ง่ายๆ
ด้วยการตอกหมุดไปเรื่อยๆ เขาวิจารณ์ว่าวิธีการปีนเขาแบบนี้
‘ได้เข่นฆ่าอุดมคติแห่งความเป็นไปไม่ได้ลงอย่างไร้หัวคิด’
เราอดสงสัยไม่ได้ว่า ไรน์โฮลด์เสพติด ‘ความเป็นไปไม่ได้’

นอกจากโจทย์ยากๆ ลำบากๆ ประหลาดๆ ที่เขาสร้างเงื่อนไขขึ้นมาให้กับตัวเอง
เพื่อให้การปีนเขาแต่ละครั้งเริ่มต้นขึ้นด้วยคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ และเขาเองก็ได้ลงมือ
ฆาตกรรมความเป็นไปไม่ได้ทิ้งไปจนหมดจากชีวิต ด้วยการพิชิตสุดยอดแห่งยอดเขาสูง
ทั้งหมดในโลกลงภายในเวลาสิบเจ็ดปี

แล้วจะเหลืออะไรท้าทายอีก?

สำหรับคนที่เสพติดความเป็นไปไม่ได้ ชีวิตที่ราบเรียบง่ายดายย่อมไม่ใช่ความสุข
ราวกับมือกระบี่อันดับหนึ่งที่มีฝีมือชั้นเยี่ยม แต่ไม่มีคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือสูสีมา ‘เล่นสนุก’ ด้วย
ชีวิตย่อมจืดชืดจนแทบไม่อยากจะหายใจต่อไป

คู่ต่อสู้ในแนวดิ่งของไรน์โฮลด์นั้น ‘หมดโลก’ ไปแล้ว!
ช่วงหลังเขาจึงพยายามออกไล่ล่าความเป็นไปไม่ได้ในแนวราบ
กระทั่งการตามล่าหาสัตว์ประหลาดในตำนานอย่าง ‘ตัวเยติ’!

“เมื่อผมปีนยอดเขาแปดพันเมตรได้ครบทั้งหมด ผมเข้าใจแล้วว่า
ถึงตอนนี้ทุกอย่างที่ทำก็แค่ซ้ำรอยเดิม ตอนนี้สิ่งที่ผมทำมันกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อแล้ว
แต่ผมก็ยังอยากไปที่ที่แปลกใหม่ ทุกอย่างแปลกใหม่ และริเริ่มทำอะไรอีกครั้ง”

นี่ละมัง ความทุกข์ของผู้พิชิต
ความทุกข์ จากความไม่สิ้นสุด

น่าแปลกใจที่ความใฝ่ฝันในบั้นปลายชีวิตของเขาคือ การได้ใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำ!
เขาอยากนั่งนิ่งๆ และผ่อนคลาย หลังจากเหนื่อยมาตลอดชีวิต

แต่นั่นก็เป็นความฝัน มนุษย์ผู้หิวกระหายความเป็นไปไม่ได้อย่างเขา
จะมีความสุขกับชีวิตในถ้ำอันต่ำเตี้ยแสนสงบนั้นได้จริงหรือ?

พันธะของคนที่ได้ขึ้นไปพิชิตยังจุดสุดยอดของโลกย่อมผูก+พันกับเขาไปจนวันตาย
ชีวิตของไรน์โฮลด์ถูกหล่อเลี้ยงด้วยความเป็นไปไม่ได้มาตลอดชีวิต
สำหรับเขา ‘ความเป็นไปไม่ได้’ คงสำคัญไม่น้อยไปกว่าออกซิเจน!

ด้วยเพราะ ‘ความเป็นไปไม่ได้’ นั้นเอง ที่ทำให้เขาดำรงอยู่
มิเพียง ‘ดำรงอยู่’ บนโลกที่มีแต่คนจับจ้องและคาดหวัง (และรอเหยียบย่ำเมื่อล้มเหลว)
แต่ยัง ‘ดำรงอยู่’ ในจิตวิญญาณของตัวเอง เพื่อตอบตัวเองให้ได้ว่ากำลังหายใจไปเพื่ออะไร

“เขาบอกว่า ‘ผมเป็นในสิ่งที่ผมทำ’
แต่ผมคิดว่าเขาอาจจะเชื่อถือในสิ่งที่ตรงกันข้าม
นั่นคือ ‘ถ้าผมหยุดทำ ผมก็จะไม่เป็น’ “

ใครคนหนึ่งวิพากษ์วิจารณ์ไรน์โฮลด์ไว้แบบนั้น

บางครั้ง ‘ความหมายของชีวิต’ หรือ ‘ความหมายของการดำรงอยู่’ ของคนเรา
ก็ไม่ได้ถูกกล่าวออกมาอย่างโฉ่งฉ่างโจ่งแจ้ง แต่มันค่อยๆ เล็ดลอดออกมาในการกระทำ
และบางประโยคของใครคนนั้น

“ถ้ามีใครอวดว่าเมื่อถึงยอดเอเวอร์เรสต์แล้วรู้สึกสุดยอด คนคนนั้นโกหก
เพราะมันเป็นที่ที่ไม่เอาไหนเอามากๆ”

นั่นสิ แล้วเขาจะปีนป่ายขึ้นไปทำไม?

“ถ้าไม่มีการเสี่ยงชีวิต มันก็ไม่ใช่การผจญภัย”
นั่นคือสิ่งที่ไรน์โฮลด์ตอบออกมา
แต่-เราคิดว่านั่นยังไม่จบประโยคเต็มๆ ของเขา
และเขาอาจละบางประโยคเอาไว้ ไม่พูดมันออกมา ทว่า-อยู่ในใจ…
“ถ้าไม่มีการผจญภัย มันก็ไม่ใช่ชีวิต”.

บล็อกก็เหมือนบ้าน

พฤศจิกายน 17, 2006

หลังจากแวะเวียนไปดู ‘ทำเล’ มาหลายแห่ง และได้ทดลอง ‘อยู่’ และ ‘ตกแต่ง’
บล็อกแต่ละแห่งให้พอรู้ข้อจำกัด ความอึดอัด ความสะดวกสบาย ความง่าย-ยาก
และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ความงามตามสมควร ก็ตัดสินใจในวินาทีสุดท้าย (เมื่อกี๊)
ว่าจะลงหลักปักเสาเข็มที่บ้านหลังนี้ ที่นี่ wordpress.com

แม้ว่ายังคงสงสัยว่าทำไมจึงไม่สามารถ ‘เข้า’ บล็อกของตัวเองได้ขณะอยู่ที่ทำงาน
แต่พอมาเปิดที่บ้านจึงได้เข้าได้ฉิว! (ใครทราบ กรุณาบอกกันบ้างครับ)
แต่เหตุผลที่เลือกที่นี่ ก็คงคล้ายกับเวลาพิจารณาผู้หญิง (ฮ่าฮ่า)
หากจุกจิกจู้จี้ขี้บ่นต้องทนพอๆ กัน เราเลือกคนที่หน้าตาดีกว่าเอาไว้ก่อน!

สำหรับเรา บล็อกก็เหมือนบ้านแหละครับ
ต่อให้ได้รับการออกแบบมาดียังไง
บ้านย่อมไม่มีวันจะถูกใจผู้อยู่อาศัยไปเสียทุกอย่าง
เรามีโอกาส ‘ออกแบบ’ บ้านเฉพาะขั้นตอน ‘ก่อนสร้าง’ เท่านั้น
หลังจากนั้นทำได้อย่างมากก็แค่ตกแต่งภายใน

แต่สิ่งหนึ่งที่เรายังคง ‘ออกแบบ’ ได้ แม้ว่าเราจะปรับแต่งบ้านเท่าไหร่ก็ยังไม่ถูกใจ
ก็คือ ‘ความคิด’ และ ‘จิตใจ’ ของผู้อยู่อาศัยอย่างเราๆ (ที่ปรับแต่งได้เสมอ)
คงต้องยอมรับในข้อจำกัดของบ้านแต่ละหลัง คงไม่มีบ้านหลังไหนที่จะถูกใจไปซะหมด
แต่เมื่อเราได้ ‘เลือก’ บ้านแล้ว เราก็คงต้องพยายามทำความเข้าใจมันบ้างเหมือนกัน
หนักนิดเบาหน่อย ก็คงต้องปล่อยๆ กันไปบ้าง (เอ๊ะ! นี่มันพูดถึงบ้านหรือเมียวะ!)

ไอ้ครั้นจะมีบ้านหลายหลัง ก็เกรงว่าจะดูแลไม่ทั่วถึง
สู้มีหลังเดียว แต่ดูแลมันให้สะอาดสะอ้าน น่าอยู่
น่านอนเล่น ผู้คนอยากมาเยี่ยมเยียนกัน น่าจะดีกว่า

แม้ว่าจะย้ายบ้าน(บล็อก)มาถึงสองครั้งสองครา
แต่มิใช่ว่า ด้วยความโลเล ใจง่าย ได้ใหม่ลืมเก่า
ทั้งสองครั้งล้วนเกิดจากความอ่อนด้อยความรู้ด้านเทคโนโลยี
ครั้งแรก, เข้าบ้านหลังแรกไม่ได้
ครั้งที่สอง, อัพบล็อกไม่ได้ในค่ำคืนหนึ่ง เลยงอน!
เก็บข้าวเก็บของย้ายมาพำนักในบ้านหน้าตาทันสมัยแห่งนี้แทน

ไม่มีใครอยากย้ายบ้านบ่อยหรอกครับ
ความคุ้นชินกับบ้าน เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ
บ้านไม่ใช่สวนสนุก จึงไม่ต้องการความตื่นเต้นหฤหรรษ์แปลกใหม่กันทุกวี่วัน
บ้านเก่าๆ ที่เราอยู่มานาน ยิ่งวันยิ่งมีเสน่ห์ และรู้สึกปลอดภัย
ด้วยรู้ว่า มุมไหนเงียบสงบ ที่ตรงไหนลมพัดเย็น ตรงไหนควรผูกเปลนอนเล่น
บ้านที่คุ้นเคย แม้จะเก่าไปตามกลาลเวลา แต่ก็อบอุ่นกว่าบ้านหลังใหม่

นั่นย่อมเป็นเหตุผลที่คาดหวังอยากให้บ้านหลังนี้เป็นหลังสุดท้าย(ถ้าเป็นไปได้)
แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ

บล็อกก็เหมือนบ้านแหละครับ
บ้านที่มีเพื่อนบ้านแวะมาเยี่ยมเยียน ส่งเสียงพูดคุย ย่อมมีชีวิตชีวากว่า
บ้านที่เจ้าของบ้านพร่ำเพ้อรำพันทั้งวันอยู่กับนกแก้วนกขุนทองในกรง
ขอบคุณเพื่อนบ้านทุกคนที่มาเยี่ยมเยียน ไม่ว่าจะส่งเสียงหรือไม่

และมุมมุมนี้ก็น่าจะเป็นมุมที่ดี แดดร่มลมตก
เหมาะแก่การนั่งสนทนากันตามประสาคนร่วมหมู่บ้าน(ไซเบอร์)
เห็นด้วย-เห็นต่าง-เห็นเฉยๆ ก็ว่ากันได้ตามสบาย
ว่างๆ ก็แวะมานั่งเล่นในบ้าน ตากลมเย็นๆ (และร้อนในบางฤดู)
พอให้ไม่เหงา (หมายถึงเราทั้งสองฝ่าย)

จริงๆ แล้ว ไอ้การเปิดบ้านในโลกไซเบอร์ มันก็ไม่ต้องมีพิธีรีตอง
หรือร่ายเปิดงานให้ยืดยาวเหมือนท่านประธานในพิธีขนาดนี้หรอก
แต่-บล็อกก็เหมือนบ้านนั่นแหละ
ทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ ด้วยข้อความที่เป็นมงคลเสียหน่อย
เป็นขวัญเป็นศรีแก่ผู้อยู่อาศัย และตัวบ้านเอง

อ้อ! ซองเซิงน่ะไม่ต้องเตรียมมานะครับ
ไม่รับเงินสด ไม่รับดอกไม้
แต่ถ้าจะโอนเงินเข้าบัญชีก็โอนได้เลยที่…………

‘บ้านพักฝากอากาศ’ หลังนี้ ยินดีต้อนรับทุกวันครับ!

บังเอิญได้ ตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกใบเดียวกัน

พฤศจิกายน 15, 2006

1.
รถมิตซูบิชิ โคลท์ สามประตู สีขาว ที่มีจานล้อเป็นลายหมีน่ารักน่าชัง
ที่วิ่งอยู่บนถนนกรุงเทพฯ จะมีสักกี่คันกันเชียว?

2.
เราเคยนั่งรถคันนั้น นานมาแล้ว
นานจนเกือบลืมความทรงจำเกี่ยวกับรถ และเจ้าของรถ
เกือบลืม แปลว่ายังไม่ลืม
และอาจแปลครอบคลุมไปถึง ลืมไม่ได้!

3.
รถสีขาวที่มีล้อเป็นหมีทั้งสี่ล้อคันนี้ วิ่งเข้ามาในชีวิตเธอ
ขณะนั้น เราเองก็ยังวิ่งวนเวียนอยู่รอบๆ วงชีวิตของเธอ
วิ่งอยู่รอบๆ รถคันนั้น กระทั่งเราหลุดวงโคจรออกมา
แต่รถล้อหมีคันนั้นก็ยังคงจอดอยู่ที่เดิม ในบ้านหลังเดิม
ทำไมเรารู้? ก็เราเคยขับรถไปแอบดูมัน

4.
ทางของเธอกับทางของเราเคยเป็นทางที่ใช้ร่วมกัน
เพราะบ้านของเธอเป็นทางผ่านก่อนที่จะถึงบ้านของเรา
หลายครั้งที่เราแวะส่งเธอ บางครั้งที่เธอขับเลยไปส่งเรา
บ้านของเราอยู่บนเส้นทางเดียวกัน

5.
แต่หลังจากที่เราแยกทางกันไป
ก็คล้ายกับว่าทางเส้นเดียวกันนั้น ถ่างกว้างออกเป็นสองเส้น
เธอไม่จำเป็นต้องขับเลยบ้านของตัวเองอีกต่อไป
และเราก็ไม่จำเป็นต้องแวะจอดก่อนถึงบ้านของตัวเอง

6.
ทางเส้นเดิม มีความรู้สึกเดิมๆ มีภาพเดิมๆ
แต่ไม่มีวันเหมือนเดิม

7.
หลายปีผ่าน
เช้าวันหนึ่งที่เราออกจากบ้านเช้ากว่าปกติ
บนทางเส้นเดิม รถติด
เราจอดต่อท้ายรถมิตซูบิชิ โคลท์ สามประตู สีขาว!
ยากที่จะหยุดสมองไม่ให้คิดฟูมฟาย จำหมายเลขทะเบียนไม่ได้
รถเริ่มขยับตัว เราหักพวงมาลัยไปทางขวา จอดเทียบรถสีขาวคันนั้น
เหลือบมองที่ล้อ จานล้อลายหมี!
เงยหน้าขึ้นมา ได้เจอกับคนที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมาหลายปี
ตาจ้องตา อยากยิ้มให้แต่ไม่กล้า
มองเห็นแววตาของเธอไม่ชัด เพราะมันซ่อนอยู่ใต้แว่นกระจกใส
สัญญาณไฟปล่อยรถให้เคลื่อนที่ ล้อหมีหมุนไปข้างหน้า
ใช่…หมุนไปข้างหน้า
ล้อของรถเราก็หมุนไปข้างหน้าเช่นกัน
บนถนน รถทุกคันล้วนวิ่งไปข้างหน้า ไม่มีคันไหนถอยหลัง
และคงมีแต่ ‘รถตาย’ เท่านั้น ที่จะหยุดอยู่กับที่

8.
เราเลี้ยวซ้ายไปตามเส้นทาง
ส่วนเธอขับตรงไป

9.
บนถนน-บนโลกใบนี้
ความบังเอิญเกิดขึ้นได้โดยมิจำเป็นต้องบอกกล่าวกันล่วงหน้า
มันจะแปลกอะไร ในเมื่อเรายังวนเวียนอยู่บนโลกใบเดียวกัน
เส้นทางของเรามีโอกาสมาตัดกันได้เสมอ

10.
เมื่อวาน ได้อ่านอีเมลฉบับหนึ่ง
เจ้าของเป็นอดีตนักศึกษาแพทย์ที่เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่โตเกียว
เป็นคนคนเดียวกับนักศึกษาแพทย์ที่ตกเครื่องบินในหนังสือ ‘โตเกียวไม่มีขา’
เธอส่งจดหมายมาเพื่อที่จะบอกกับเราว่า เธอได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว
และบังเอิญเหลือเกินที่เรื่องราวของนักศึกษาแพทย์ท้ายเล่ม
สอดคล้องกับชีวิตของเธอราวกับเป็นชีวิตเดียวกัน
เธอตั้งชื่ออีเมลฉบับนี้ว่า ‘เรื่องบังเอิญ’

11.
บังเอิญว่าน้องสาวชอบหนังสือเล่มหนึ่ง เธอโฆษณามาตั้งนาน
บังเอิญเห็นว่าไปซื้อมาได้เล่มสุดท้่ายของร้านพอดี
บังเอิญน่าสนใจเลยหยิบมาพลิกๆ ดู
บังเอิญเอะใจ
บังเอิญว่าเคยไปญี่ปุ่น
บังเอิญเคยตกเครื่องบิน
และจำหนุ่มชาวไทยที่เจอวันนั้นได้แม่น
(และจำผู้ชายหน้าเข้มอีกคนแต่ชื่อ น้ำ ได้แม่นมาก)
เลยรีบพลิกไปหน้าสุดท้าย
น่าตกใจ มีเรื่องที่คล้ายกับในความทรงจำน่าประทับใจเมื่อหลายปีก่อน
หนึ่งในสองหนุ่มนั้นกลายเป็นนักเขียนไปแล้ว
แถมเขียนได้สนุก น่าติดตามอย่างที่ิคิดจริงๆ
นักศึกษาแพทย์คนนั้นกลายเป็นแพทย์หญิงแล้วนะคะ

12.
มันจะแปลกอะไร ในเมื่อเรายังวนเวียนอยู่บนโลกใบเดียวกัน
เส้นทางของเรามีโอกาสมาตัดกันได้เสมอ.

รำพึงรำพันก่อนนอน (1)

พฤศจิกายน 14, 2006

(แว้บ! ตอนอาบน้ำใต้ฝักบัว)

คนเราควรจะมีคนที่ติดตามชีวิตเราโดยตลอด อย่างน้อยหนึ่งคน
คนที่ติดตามชีวิตเรา หมายถึง คนที่รู้ว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง
กำลังเจออะไรอยู่ กำลังมีความสุขกับอะไร กำลังมีความทุกข์กับอะไร
เราฝันอยากพาตัวเองไปสู่อะไร อุปสรรคขวางทางคืออะไร
คนคนนี้แค่เล่าเรื่องใหม่ภายในเวลาไม่กี่นาที เค้าก็จะเข้าใจ
อาจไม่จำเป็นต้องให้คำปรึกษา ทว่า-รับฟัง

หากชีวิตไม่มีคนแบบนี้เลย แม้แต่หนึ่งคน
ชีวิตคนเราจะเป็นแบบไหน
เวลาสุข เราอยากบอกให้ใครรู้?
เวลาทุกข์ เราอยากหันหน้าเอาหัวไปโขกไหล่ใคร?

คนเราควรจะมีคนที่ติดตามชีวิตเราโดยตลอด อย่างน้อยหนึ่งคน.

โลกของเรา

พฤศจิกายน 13, 2006

1.
ได้ยินชื่อและได้เห็นหน้าค่าตาอาจารย์ ปกป้อง จันวิทย์ มานานแล้ว
รู้ว่าเป็นคนเก่ง เคยอ่านผลงานผ่านตาไปบ้าง แต่ไม่จริงจังนัก

จนกระทั่งวันนั้น (ในงานหนังสือ ตุลาฯ 2549)
อาจารย์ปกป้องเดินผ่านซุ้มอะเดย์ เรายกมือไหว้
อาจารย์ยิ้มกว้าง (เป็นคนน่ารักและอารมณ์ดีมากๆ)
แล้วทักว่า “นี่คือนิ้วกลมใช่มั้ยครับ?”
ดีใจที่อาจารย์รู้จัก และเริ่มอยากรู้จักอาจารย์

เป็นอาการอยากรู้จักหลังจากได้พูดคุยกันหลายประโยค
รวมถึงได้พูดคุยผ่านสายโทรศัพท์ ก่อนที่อาจารย์จะเดินทางไปยุโรป
เป็นการคุยกันเรื่อง ‘คอลัมน์’ ใน http://www.onopen.com
อาจารย์เป็นคนง่ายๆ (แต่ไม่มักง่าย)
ตลกกับคำพูดของอาจารย์ที่บอกว่า
“ถ้าเอ๋ส่งมาวันนี้ ผมเอาขึ้นเว็บให้วันนี้เลย มาแข่งกันสิว่าใครจะไวกว่ากัน”
การส่งตัวหนังสือไปแปะไว้บนเว็บไซด์โอเพ่น ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
และเป็นเรื่องน่าดีใจ สำหรับนักเขียนอ่อนหัดอย่างเรา

2.
ในงานแฟตฯ ที่ซุ้มโอเพ่น
เหลือบไปเห็นหนังสือที่จดจดจ้องจ้องมานานแล้ว
เห็นทีจะได้ฤกษ์ซื้อเสียที
บางครั้ง เราก็อยากอ่านหนังสือบางเล่ม
เพราะต้องการทำความรู้จักกับนักเขียนคนนั้น
เหมือนอย่างที่ตัวหนังสือช่างคิดในซุ้มของโซฟา
ในงานแฟตฯ ว่าไว้ “Read me, Read my book.”
และครั้งนี้นักเขียนที่อยากรู้จักก็คือ อาจารย์ ปกป้อง นั่นเอง
หนังสือ blog blog ถูกเล็งมานานแล้ว
สุดท้ายก็ได้อ่าน

อาจารย์เขียนบล็อกได้สนุกและมีเนื้อหาเข้มข้นมาก – อิจฉา!
อ่านมาจนถึงบท นักวิชาการในฝัน (1): กรอบความคิด
บางข้อความในนั้น ชวนให้คิดถึง ‘โลก’ ของตัวเอง

ด้านหนึ่ง ตัวตนของเราได้รับอิทธิพลจาก ‘โลก’ (สภาพสังคม กฎกติกาในสังคม
ภูมิหลัง ประสบการณ์ ความเชื่อ ค่านิยมของสังคม ฯลฯ) ที่เราเผชิญ
พูดง่ายๆ ว่า ‘โลก’ มีส่วนสร้างเราขึ้นมา แต่อีกด้านหนึ่งตัวเราก็มีส่วนย้อนกลับ
ไปสร้าง ‘โลก’ เช่นกัน

เป็นมุมมองที่น่าสนใจ และชวนให้เห็นด้วย
เรามักคิดว่า เราถูกหล่อหลอมขึ้นมาจาก ‘โลก’ ในยุคสมัยของเรา
เรามักคิดว่า เราตกเป็นฝ่าย ‘ถูกกระทำ’ แต่ฝ่ายเดียว
แต่แท้จริงแล้ว เราก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะปรับ+ปรุง ‘โลก’ ใบใหม่ในอนาคตได้!

หากมิใช่คนที่มีพลังเหลือเฟือ คงไม่กล้าคิดอะไรแบบนี้

3.
ตอนบ่ายนอนอ่าน มติชน สุดสัปดาห์ ฉบับ 1369
คอลัมน์ ‘ดีไซน์ คัลเจอร์’ ของคุณ ประชา สุวีรานนท์
งวดนี้เขาเขียนถึง ฟิลิปป์ สตาร์ก
หนึ่งในดีไซเนอร์จำนวนไม่กี่คนที่เราจำหน้าและผลงานได้(บ้าง)

ไอ้เครื่องคั้นน้ำผลไม้รูปทรงเหมือนแมงมุมต่างดาวสามขาน่ะ เห็นมานานแล้ว
แต่เพิ่งได้มารู้วันนี้เองว่ามัน ไม่เวิร์ก!
และเพิ่งรู้ชื่อเต็มๆ ของมันว่ามันชื่อ Juicy Salif lemon squeezer
ไอ้เจ้าซาลีฟนี้มีปัญหาหลายด้าน

ซาลีฟอาจจะดูน่าใช้ แต่ก็ไร้ประโยชน์ เพราะเมื่อนำมาใช้จริง
ผลไม้ผ่าซีกที่ควรจะวางอยู่บนหัวและลำตัวจะลื่นไถลลงมาด้านข้าง
มือของเราจะเลอะเทอเปรอะเปื้อน ยิ่งไปกว่านั้น หลังการใช้ครั้งแรก
ซาลีฟจะทำปฏิกิริยาเคมีกับกรดในน้ำมะนาว ส่งผลให้ผิวมันวาว
ราวกับเครื่องเงินของมันกลายเป็นเทาดังเช่นอะลูมิเนียมทั่วไป

เพิ่งรู้ความสับปะรังเคของมันก็วันนี้เอง
สมัยเรียนก็ไม่เห็นอาจารย์จะบอกว่ามันห่วย!
แต่พอบรรทัดถัดมา ก็ได้รู้ว่าจริงๆ แล้วมันเจ๋งนี่หว่า

แม้แต่สตาร์กเองก็เคยประกาศว่า
ซาลีฟไม่ได้มีไว้คั้นน้ำผลไม้ แต่เป็นเครื่องช่วยเปิดประเด็นการสนทนา
เช่น เมื่อลูกเขยคนใหม่ไม่รูจะพูดคุยอะไรกับแม่ยาย

หากบรรทัดบนคือ Design Concept ของไอ้แมงมุมสามขา
ต้องนับว่าเป็นแนวความคิดที่น่าสนใจและกวนอวัยวะที่ใช้เดินอย่างยิ่ง
เครื่องคั้นน้ำผลไม้ ที่มีไว้เปิดประเด็นสนทนา!

4.
สมัยเรียนที่ภาควิชาการออกแบบอุตสาหกรรม สถาปัตย์ จุฬาฯ
เราต่างรู้กันดีว่า แนวความคิดหลักประจำภาควิชาของพวกเรา
รับต่อมาจากโรงเรียนออกแบบบาวเฮ้าส์ ของเยอรมันอีกขั้นหนึ่ง
นั่นก็คือ Form Follows Function
แปลเป็นไทยก็ รูปทรงต้องเกิดจากประโยชน์ใช้สอย (เท่านั้น!)

เราสนุกกับแนวความคิดแบบนั้นมาสี่ปี แล้วเกิดการตั้งคำถามว่า
เราไม่สามารถออกแบบอะไรที่มันไม่มีประโยชน์ใช้สอยได้เลยหรือ?

หลังจากได้รู้ว่า โรเบิร์ต เวนจูรี่ สถาปนิกยียวนคนหนึ่ง
ออกแบบบ้านที่มีบันไดขึ้นไปชนผนัง ก็ยิ่งอยากทดลอง

ผลงานชิ้นหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำของเพื่อนร่วมชั้นปี
คือ ที่ใส่กระดาษทิชชูในห้องน้ำ
เราดีไซน์มันเป็นรูปทรงแคปซูล พ่นสีเงินสลับกับสีฟ้าเมทัลลิก
เข้ายุคสมัยในเวลาใกล้มิลเลนเนียม (2000)
โดยเว้นช่องว่างข้างกระดาษทิชชูเอาไว้แบบไร้ประโยชน์ใช้สอย
สองข้างรวมกันก็น่าจะราวๆ สิบเซนติเมตร
Form ที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้มี Function แต่อย่างใด
แต่มีไว้เพื่อให้รูปร่างมันเป็น ‘แคปซูล’ อย่างที่อยากให้เป็น

พรีเซ้นต์งานหน้าห้อง
“งานออกแบบชิ้นนี้ ผมไม่ได้ใช้
แนวความคิด Form Follows Function
แต่ผมมีแนวความคิดว่า Form Follows Fantasy”
ยังจำได้ดีว่าเพื่อนๆ ทั้งห้องปล่อยก๊ากออกมา
และยังจำแววตาถลนถลึงของอาจารย์สุดที่รักได้

งานชิ้นนั้นได้ผลลัพธ์สองอย่าง
หนึ่ง, เกรด C
สอง, ความสะใจ

5.
สถาบันที่ดี…ไม่ใช่สถาบันที่มีโครงสร้างสิ่งจูงใจที่ตีเส้นทางเดิน
ไปสู่ความเป็นนักวิชาการในฝันแบบเดียวกัน แบบใดแบบหนึ่ง
แต่เป็นสถาบันที่ดีในความหมายที่ส่งเสริมเอื้ออำนวยให้นักวิชาการ
ในฝันแต่ละแบบ สามารถแสดงศักยภาพของตนได้อย่างเจิดจรัส
ตามวิถีแห่งตน

ข้อความในหนังสือ blog blog ชวนให้คิดถึงอดีตของตนเอง
ปะปนไปกับชีวิตของ ฟิลิปป์ สตาร์ก
ไม่ได้หมายความว่า จะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบว่าเก่งกาจอะไร
แต่อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า ถ้าวันนั้นได้เกรด A เราจะมุ่งคิด
แนวความคิดแปลกๆ ไปอีกได้ไกลแค่ไหน?

หากมีการสนับสนุน
ผลักดันให้แต่ละคนเดินหน้าไปในทางที่คิดและฝัน
ไปในทางที่แต่ละคนแตกต่าง ให้พัฒนาไปอย่างสวยงาม
พวกเราคงจบออกมาอย่างหลากหลาย และไม่เป็นพิมพ์เดียวกัน

เพราะเราล้วนถูกสร้างมาจาก ‘โลก’ คนละใบ
เราเติบโตมาแตกต่าง และเราต่างก็มีเสน่ห์และความยียวนในแบบตน
หากแต่ระบบการศึกษากลับเคาะเราให้เหลือเพียง ‘พิมพ์’ เดียว
แล้วมันจะสนุกตรงไหน?

‘โลก’ ใบที่พวกเราสร้างขึ้น เมื่อถึงยุคที่พวกเราต้องรับภาระสร้างโลก
จึงไม่ต่างอะไรไปจาก ‘โลก’ ในวันที่ครูบาอาจารย์อยู่อาศัย

หากการศึกษาและสังคมเปิด ‘โลก’ ของแต่ละคน
รวมทั้งขัดเกลาให้ ‘โลก’ ของแต่ละคนชัดเจนสุกใสและสนุกที่จะคิด
เราคงได้อยู่ใน ‘โลก’ ที่น่าตื่นเต้นและสวยงามกว่าที่เป็นอยู่

‘โลก’ แห่งความแตกต่างหลากหลายย่อมสวยงามกว่า
‘โลก’ แบบเดิมๆ แบบเดียว – ‘โลก’ ที่เหมือนกันไปหมด

เราชอบรู้จัก ‘โลก’ ของคนอื่น
ยิ่งแตกต่างยิ่งชอบ และสนุกที่จะได้เอาตัวลงไปคลุกเคล้า
ไม่จำเป็นต้องชอบ ‘โลก’ ใบนั้น
แต่อยากเข้าใจว่า ‘โลก’ ของเขาเป็นแบบไหน

และเราก็ชอบที่จะให้คนอื่นรู้จัก ‘โลก’ ของเรา
เพราะเมื่อรู้จักกัน มันก็มักจะนำไปสู่ส่วนผสมใหม่
และนำพาไปสู่ ‘โลก’ ใบอื่น ใบแล้วใบเล่า…
เพราะคนหนึ่งคนย่อมนำพาไปสู่คนอีกหนึ่งคนเสมอ

เมื่อถึงอายุหนึ่ง คนรุ่นเราคงจำเป็นต้องรับภาระสร้าง ‘โลก’
ตั้งใจไว้แล้วว่า เราจะไม่ปิดกั้นความเป็นไปได้ใน ‘โลก’ ของใคร
เพราะเราอยากเห็น ‘โลก’ ที่หลากหลายมากกว่า ‘โลก’ ที่เป็นแบบเดียว

คุณล่ะอยากเห็น ‘โลก’ แบบไหน?
ช่วยกันสร้างดีมั้ยครับ?

ก็เพราะเราคือ สิ่งมีชีวิต

พฤศจิกายน 12, 2006

บนโต๊ะอาหาร
หญิงสองคนนั่งฝั่งนึง ชายสามคนนั่งอีกฝั่งนึง
เราอยู่กลางระหว่างเพื่อนสนิทสองคน – ธี กับ ผี
(ผี คือชื่อเพื่อน ยังไม่ตาย มิใช่วิญญาณ)

ผู้หญิงสองคนตรงหน้าผ่านการจีบจากไอ้ธีมาแล้วทั้งคู่
แห้วทั้งคู่
หนึ่งในนั้น เราเคยจีบ(เกือบติด-แปลว่าไม่ติด!)
วันนี้เรามานั่งหัวเราะเฮฮาร่วมโต๊ะเดียวกันในฐานะ ‘เพื่อน’
ทั้งห้าคนเป็น ‘เพื่อน’ กัน – เพื่อนมัธยมที่นานน้านจะเจอกันที

และหัวข้อที่ลอยอยู่บนปลากระพงย่างเกลือ,
คอหมูย่าง, ขาหมูทอด และผัดผัดกาดแก้ว นั้น
ล้วนแล้วแต่ข้องเกี่ยวกับเรื่องราวของ ‘เพื่อน’

หลายเรื่องที่ชวนให้ประหลาดใจ
เพื่อนคนนึงที่ตัดผมถูกระเบียบติดหนังหัวตลอดเวลา
ดึงกางเกงสูงจนต้องลุ้นแทนมันว่าจะเป็นไข่ดันรึเปล่า
ถุงเท้าที่พี่แกก็ดึงจนแทบจะหุ้มหัวเข่า รักไม่ยุ่งมุ่งแต่เรียน
จริงๆ ต้องเรียกว่า รักไม่ยุ่งมุ่งแต่ธรรมะ
พวกเราขนานนามมันว่า หลวงพี่เก๊กโต

ข่าวล่าสุดคือ หลวงพี่แต่งงานแล้ว!
คอหมูย่างแทบพุ่งออกจากปาก!
ด้วยเพราะผู้ชายหน้าตาดีอย่างพวกเราบนโต๊ะยังไม่ไปถึงไหน!!
ไฉนหลวงพี่ผู้ถูกระเบียบเรียบร้อย
จึงสอยสาวไปครองเรือนก่อนใครเพื่อนซะงั้น!
(ตกใจจริงๆ สังเกตจากจำนวนเครื่องหมายตกใจได้)

เพื่อนอีกคนชื่อ บอม
สมัยมัธยมตัวล่ำบึ๊ก หุ่มเหมาะแก่การยกหามข้าวสารและถุงปูน
หน้าตาหล่อแบบไทยสมัยสี่สิบปีก่อน สมัยนี้จึงดูเหมือนข้ามเวลามาหล่อ
บอมเป็นคนกล้ามใหญ่ ราวกับมันเล่นกล้ามมาตั้งแต่ในท้องแม่
แขนมันหุบไม่ได้ เดินไปไหนมาไหนต้องกางแขน
เพราะกล้ามจั๊กกะแร้ของมันล่ำมาก! (ไม่ควรพามันไปเดินแผนกเครื่องแก้ว)
เพื่อนบางคนนิยมเรียกมันสั้นๆ ว่า “ไอ้ล่ำ”

ในชั้นปีเราจะมีอีกหนึ่งบอม บอมนี้หล่อ พ่อรวย
ต่างจากไอ้บอมของเราราวกับเมฆขาวกับโคลนตม
บอมหลังจะถูกเรียกว่า “บอมเมือง”
ไอ้บอมของพวกเราถูกขนานนามอย่างน่าภาคภูมิว่า “บอมป่า”

ถึงบอมจะไม่เห็นด้วยกับชื่อ “บอมป่า” แต่มันก็ก้มหน้าก้มตายอมรับนามนั้น
บอมเป็นเพื่อนที่จริงใจกับเพื่อนมากๆ คนนึง ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับป่ารึเปล่า?
เพราะถึงยังไง อะไรที่เป็น ‘ป่า’ ย่อมบริสุทธิ์ใจกว่าอะไรที่เป็น ‘เมือง’ อยู่แล้ว

ข่าวล่า! เพื่อนในโต๊ะบอกว่า บอมเมืองตอนนี้หมดหล่อหัวเถิกหน้าเปลี่ยนไปแล้ว
ไม่ค่อยตกใจ แต่สะใจ เวลาเห็นใครเคยหล่อแล้วไม่หล่อย่อมสะใจเป็นธรรมดา
เพราะสมัยนั้นใครจีบหญิงแข่งกับไอ้บอมเมืองเป็นต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่าทุกราย
แหม…ก็พี่เค้าทั้งหล่อทั้งรวย จำได้ว่า ซีรี่ย์เจ็ดมารับมันกลับบ้านทุกวัน
ส่วนไอ้บอมป่าต้องเดินนั่งรถกะป้อออกไปต่อรถเมล์
ด้วยเหตุนี้เราจึงคบบอมป่า โดยซ่อนเหตุผลที่แท้จริงไว้
ก็คือ บอมเมืองมันไม่คบโลโซแบบพวกเราร้อก!

ข่าวที่น่าตกใจกว่าข่าวบอมเมือง คือ ตอนนี้ไอ้บอมป่าเป็นสจ๊วต!!!
(อยากใส่เครื่องหมายตกใจสักร้อยตัว!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!)

ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน
โอกาส 0.000000000000001%
แต่มันก็เป็นไปแล้ว!

นั่งฟังอีกหลายความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเพื่อน
ทั้งฮา ทั้งประหลาดใจ
ชีวิตเพื่อนเป็นอะไรที่น่าติดตาม ถามถึงแต่ละคนก็มีอันต้องขำ

เลยเล่าสารคดีชุด 7 Up – 49 Up ให้เพื่อนฟัง
ทุกคนสนใจ
เห็นเรื่องไอ้สองบอมและหลวงพี่เก๊กโตแล้วอยากทำหนังจังแฮะ

เหลียวมามองคนบนโต๊ะ
หญิงที่เราเคยจีบก็เติบโตไปเป็นนักบัญชีผู้ดูภูมิฐาน
เพื่อนหญิงอีกคนที่เคยนิสัยดียังไงก็นิสัยดีแบบนั้น
ตอนนี้ก็กลายเป็นนักวิจัยอยู่กระทรวงวิทยาศาสตร์ไปแล้ว
เพื่อนอีกสองรายที่นั่งขนานข้าง เรียนวิศวะตามความฝัน
หนึ่งในนั้นเป็นวิศวกรด้านปิโตรเลียม
อีกหนึ่ง, เบื่อชีวิตวิศวกร ผันตัวเองไปเป็นนักการตลาด
ไอ้เราถูกเพื่อนๆ ด่าว่า หัวศิลป์ ทั้งที่แต่ก่อนมันก็ศิลป์พอๆ กัน

“มุมมองถาปัดกับวิศวะแม่งต่างกันคนละขั้วจริงๆ ว่ะ”
ไอ้ธีพูดขึ้นมา หลังจากได้แสดงทรรศนะแลกกันไปหลายเรื่อง

แปลกดี-เพื่อนๆ ที่เรียนวิศวะ แรกๆ ที่พวกเราเข้ามหาวิทยาลัย
แล้วมารวมหัวเจอตัวกัน เรามักจะรู้สึกว่าพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง
เพราะ ‘คณะ’ ทำให้เราแต่ละคนเปลี่ยนไป

บางคนบอกว่า ‘คณะ’ ทำให้ตัวตนที่เคยเป็นอยู่ถูกเหลาให้ชัดเจนขึ้น

แต่มาถึงวันนี้ เรากลับนั่งฟังความเห็นคนละขั้วได้อย่างสนุก
และก็รู้สึกว่าต่างเปิดมุมมองให้กัน ได้เห็นโลกในอีกมุม
ได้คิดในอีกแบบ ไม่เถียงกันแล้ว มีแต่พยักหน้า…

ไม่ได้เห็นด้วยหรอก แต่ยอมรับในความคิดเห็นของเพื่อน
และไม่ได้เห็นความจำเป็นว่าเราจะต้องคิดตรงกัน
ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องไปโน้มน้าวให้อีกฝ่ายคิดแบบเรา

ในจำนวนห้าคน บ้างเปลี่ยน บ้างไม่เปลี่ยน
ถามตัวเองว่า หากมาเจอเพื่อนหญิงที่เคยจีบ ณ ตอนนี้
เราจะยังดำเนินการแบบเดิมรึเปล่า? ตอบตัวเองว่า-ไม่แน่ใจ
มิใช่เธอไม่น่ารัก เปล่า, แต่เธอดูอยู่คนละทิศละทางกับเรามากกว่า

“เป็นเพื่อนกันนี่แหละ คบกันได้ตลอดชีวิต”
เพื่อนสาวคนนี้เองที่เคยบอกกับเราแบบนั้น ในวันที่ปฏิเสธ
ถึงทุกวันนี้ สิบกว่าปีมาแล้วที่เราเป็นเพื่อนกัน
และยังนั่งกินคอหมูย่างด้วยกันอยู่

ต่างจากอีกคนที่เราเคยใกล้ชิด ที่ต้องห่างกันไป
และไม่ได้ติดตามข่าวของกันและกันอีกเลย

สิ่งมีชีวิตมีลักษณะสองประการที่พอจะคิดออก
หนึ่ง, คือต้องเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการไปตามสถานการณ์
และสภาพแวดล้อม (ภูมิอากาศ, ภูมิประเทศ, สถานศึกษา,
หน้าที่การงาน และประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต)

สอง, คือสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้
สิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวได้จะอยู่รอดปลอดภัยและมีความสุข

ก็เพราะเราคือสิ่งมีชีวิต
เราต่างเป็นสิ่งมีชีวิต
เราจึงต้องเปลี่ยนแปลง
และโชคดี ที่เรามีความสามารถในการปรับตัว

ไม่ใช่ปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงของตัวเองอย่างเดียว
การปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของคนที่เรา(เคย)รู้จัก
ก็สำคัญไม่น้อยไม่กว่ากันเลย.