Final Score: สุดท้าย มันก็ผ่านไป

กุมภาพันธ์ 2, 2007

อีกวันที่รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอ
อ่อนแอกับโลกตรงหน้า
โลกที่ไม่มีเพื่อน
โลกใบนั้นเหงาและอ้างว้างเกินคาด
เป็นโลกเงียบๆ ใบหนึ่ง หลังจากเดินออกจากโรงหนัง
หลังจากหนังเรื่อง Final Score จบลง
และต้องเดินทางกลับบ้านโดยลำพัง

อยากขอบคุณทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหนังเรื่องนี้
ขอบคุณที่พากเพียรทำมันขึ้นมา
หากได้เจอ อยากจะเดินเข้าไปบอกว่า เราชอบมากๆ
มันติดอันดับหนังในดวงใจไปแล้ว หลังจากที่ไม่มีมาเป็นเวลาหลายปี

หนังของพวกคุณทำให้เราหัวเราะ และร้องไห้
ทำให้เรากลายเป็นเด็ก
เด็กที่อ่อนแอ
เด็กที่ขี้แย
เด็กที่สับสน
เหมือนเด็ก ม.หก นั่นแหละ

อ่อนแอ เมื่อรู้สึกว่าตอนได้เจอเพื่อนทุกวันเรามีความสุขมาก
ขี้แย เมื่อนึกถึงวันคืนเก่าๆ
และสับสน ว่าทุกวันนี้เรามีความสุขแค่ไหน?
และเราทำความสุขแบบนั้นหล่นหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่?

หนังของพวกคุณทำให้เราไม่อยากทำอะไรอีกเลย
ไม่อยากทำงาน ไม่อยากอ่านหนังสือ ไม่อยากรู้อะไรเพิ่มเติม
ไม่เห็นว่าสิ่งเหล่านั้นจะนำมาซึ่งความสุข – คิดแบบเด็กๆ

เราอยากกลับไปอยู่ตรงนั้น ริมทะเล นั่งคุยกับเพื่อนในแสงเทียน
มีเสียงคลื่นแทรกเป็นจังหวะขณะเงียบ จังหวะที่ไม่มีใครพูด
สิ่งที่พวกน้องๆ ในเรื่องคุยกัน เรากับเพื่อนก็เคยคุย
คำถามเดียวกัน ถ้อยคำกวนตีนแบบเดียวกัน
จริงจัง สับสน และล้อเล่น เหมือนๆ กัน
ฉากนี้ทำให้เราร้องไห้ไหล่โยกนานหลายนาที
ร้องไห้เพราะเศร้า และคิดถึงความสุขในแบบนั้น

ความสุขท่ามกลางหมู่เพื่อนรัก
ที่รักกันแบบไม่ซับซ้อน ไม่คิดมาก
รักกันเพราะรู้จักกัน เพราะเรียนด้วยกัน
คุยกันถึงอนาคตที่ยังไม่เดินทางมา ด้วยความสับสน
แต่เราก็สับสนอยู่ด้วยกันนี่!

สับสนเพราะสิ่งที่กำลังต้องการคำตอบนั้นยังไม่คลี่คลาย
คำตอบยังเดินทางมาไม่ถึง – เราจะเอ็นท์ติดมั้ย?

ราวกับเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิต
เรื่องคอขาดบาดตาย
ตอนนั้นเราก็เครียดแบบนั้น แบบเดียวกัน
แบบเดียวกับเด็ก ม.หก หลายๆ คน

ตอนสอบเอ็นท์เสร็จ เรากับเพื่อนก็ไปทะเล
ไปทำบ้าๆ บอๆ กันริมทะเล นั่งคุยถึงอนาคต
แล้วก็นั่งรถกลับสู่โลกแห่งความจริงที่รออยู่
แทบไม่มีอะไรต่างกันเลย

แล้วพวกเราก็เอ็นท์ติดบ้าง ไม่ติดบ้าง
แล้วพวกเราก็แยกย้ายกันไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน
แน่นอน-ก่อนแยกย้าย เราเซ็นต์เสื้อนักเรียนไว้เป็นที่ระลึก
และยังเก็บไว้ถึงทุกวันนี้

เสื้อตัวนั้นทำปฏิกิริยาไม่ต่างจากหนังเรื่องนี้
หยิบขึ้นมาอ่านแล้วต่อมน้ำตาแตกโดยอัตโนมัติ

อะไรดีๆ ที่ไม่กลับมาอีก มันเศร้า

คืนวันเก่าๆ สมัยมัธยมฯ และมหาวิทยาลัย
สำหรับเรามันเป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆ
สนุกมากๆ และบริสุทธิ์มากๆ

เหมือนโลกมีแค่เราไม่กี่คน
และเราก็สนุกกันอยู่ในโลกใบนั้น

เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีอีกแล้ว

เพราะเราโตขึ้น
โลกของเราขยายออกเรื่อยๆ
เจอโลกเยอะขึ้น เจอเพื่อนน้อยลง

เพื่อนคนเก่าหายไป เพื่อนคนใหม่เข้ามา
เพื่อนคนเก่าที่เคยสนิทใจ ก็เปลี่ยนไปเหมือนๆ กับตัวเราเอง
ต่างคนต่างเปลี่ยน
เหมือนที่น้องคนหนึ่งในเรื่องถามว่า
“อีกหน่อยมึงจะคุยกับกูเหมือนเดิมรึเปล่า?”
วันหนึ่ง คำตอบก็จะเดินทางมาถึงเอง

ย้อนกลับไปมองช่วงเวลานั้น ด้วยดวงตาในตอนนี้
ก็รู้สึกว่า การเอ็นทรานซ์ไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต
ไม่ใช่ปัญหาโลกแตก ไม่ใช่สิ่งสำคัญขนาดนั้น
แต่ตอนนั้นใครจะไปรู้

ตอนนั้นเราจะเป็นจะตาย กินไม่ได้นอนไม่หลับไปกับมัน
พอรู้ผลก็อยากตะโกนดังๆ ใส่โลก – เป็นเหมือนกัน
แต่แล้วมันก็ผ่านไป

คนเสียใจมีมากกว่าคนดีใจ
และนั่นคือหนึ่งบทเรียนด้านความรู้สึกที่คนดีใจไม่ได้รับ

สุดท้าย ทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนต่อไปในมหาวิทยาลัย

ความดีใจก็ผ่านไป
ความเสียใจก็เช่นกัน

ความสุขในคืนวันแบบนั้นก็ผ่านไป
ความเศร้าใจในคืนประกาศผลสอบก็ผ่านไปเช่นกัน

กี่ครั้งที่เคยเศร้า กี่คราวที่ทุกข์ใจ ที่เคยคิดว่าไม่ไหว สุดท้ายก็ผ่านพ้นไป
กี่วันที่เคยสุข กี่คืนที่ท้อใจ จะกี่ครั้ง ความสุขนั้นก็ผ่านพ้นไป

* ถ้าหากวันนี้เราจะต้องห่าง ระยะทางจะเท่าไหร่
จะแค่ไหน จะแสนไกลก็เหมือนมันใกล้
แม้โลกจะหมุน หมุนไป แต่เราไม่เปลี่ยนไป ขอเพียง เพียงเข้าใจ (ยังเข้าใจ)

นึกถึงเพื่อน นึกถึงเพลงนี้ อยากร้องเพลงนี้กับเพื่อน
อยากนั่งร้องเพลงนั่งเล่นกีต้าร์กันริมทะเลอีกครั้ง
คุยเรื่องจริงจังและไร้สาระ หาทางออกไม่เจอ
ผลัดกันเล่าความสับสนในใจให้เพื่อนฟังอีก

ไม่จำเป็นต้องแกล้งพยายามทำเป็นเข้มแข็ง
อยู่กับเพื่อนเราอ่อนแอได้ เราโง่ได้

ดูหนังเรื่องนี้จบแล้วต้องหยิบโทรศัพท์กดหาเพื่อน
อยากให้มันดู อยากชวนมันคุย อยากเจอมัน

อยากได้ยินมันพูดกับเราว่า คิดถึงตอนนั้นเนอะ
แล้วเราจะบอกมันว่า เออ กูก็จะพูดกับมึงแบบนี้เหมือนกัน

วันนั้นนั่งคุยกับพี่ชายคนหนึ่ง
เค้าบอกกับเราว่า คนเรามองชีวิตตัวเองได้แค่ตอนปัจจุบันเท่านั้น
เราไม่สามารถมองปัจจุบันด้วยกรอบความคิดของอนาคตได้

เหมือนเด็กมัธยมฯ ไม่สามารถมองการเอ็นทรานซ์ด้วยกรอบความคิด
ของคนที่ทำงานแล้วได้ ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้สลักสำคัญขนาดนั้น

สิ่งที่เราทุกข์ หากมองด้วยกรอบของวันพรุ่งนี้ เราก็จะรู้ว่ามันก็จะผ่านไป
นั่นอาจเป็นวิธีคิดที่เราใช้ปลอบใจตัวเองอยู่บ่อยๆ

แต่-กลับกัน เมื่อเรามองอดีตจากกรอบความคิดปัจจุบัน
เหมือนที่ได้มองมันผ่านหนังเรื่อง Final Score
เราก็จะพบความจริงอีกข้อ คือ
สิ่งที่เรากำลังมีความสุข ยุคสมัยที่เราร่าเริง ความผูกพันกับเพื่อนที่ดี
สุดท้ายมันก็จะผ่านไปเช่นกัน

และเราจะร้องไห้ด้วยความเสียดาย
ก็ต่อเมื่อได้มานั่งดูมันอีกครั้ง
ในตอนที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีก
จะทำได้ก็แค่เพียง พยักหน้าอย่างผู้ใหญ่ที่(พยายาม)เข้าใจชีวิต
แล้วกระซิบบอกกับตัวเองในใจว่า
ความเศร้าจากอาการเสียดายความสุขเมื่อครั้งอดีตในวันนี้
สุดท้าย, มันก็ผ่านไป, เช่นกัน.

———————————————————
ขอแสดงความยินดีกับทุกคนที่ยังอยู่ในยุคสมัยแห่งความสุข
ขอให้มีความสุขมากๆ ครับ!
😀

30 Responses to “Final Score: สุดท้าย มันก็ผ่านไป”

  1. keyzame Says:

    เราเองก้อเปงคนนึงที่เอนในปีนี้
    อยากไปดูจังเลย

    แต่เพื่อนๆไปดูกันมาแล้วอ่ะดิ่

    แป่วมากมาย

  2. ปอนด์ Says:

    เราแอบร้องไห้ ตอนน้องโบ๊ต อยากเรียนประมงที่สุดเลย

    อ้อๆ อีกตอนที่ประทับใจ ก็เป็นรอบกองไฟบนชายหาดเหมือนกัน
    ชอบตอนที่ น้องถามกันไปมาว่า ถ้าอีกคนนึงเป็นนายก แล้วอีกคนเป็นยามจะยังคบหรือได้พูดกันเหมือนเดิมหรือเปล่า (ทำนองนี้)
    แล้วมีคนตอบว่า แกคิดเหรอว่า ถ้าชั้นเป็นนายก แล้วนายจะได้เป็นแค่ยาม (เค้าจะไม่ทิ้งเพื่อน นั่นเอง)

    แหงะพูดมามากมาย
    ขอโทษ คนที่ยังไม่ได้ดูด้วย
    ไม่ได้มีแค่ความสนุกนะ

  3. pattararanee Says:

    โห!!! รอแป๊บนะ ไว้ว่างแล้วจะไปดู…

  4. ฟ้า Says:

    ดูหนังเรื่องนี้จบ..
    จะมีคนกลุ่มนึงคิดถึงเรา
    และเราก้อจะคิดถึงคนกลุ่มนึง

    ^^”
    คิดถึง . .

  5. SSM Says:

    ตอนแรกเฉยๆนะ ดูก็ได้ไม่ดูก็ได้ แต่พออ่านบล๊อกนี้แล้วรู้สึกอยากไปดูขึ่นมา เพราะว่าเอ้นปีนี้เหมือนกัน และผมก็ยังมีความสงสัยและสับสนบางอย่างที่ค้างอยู่ อยากไปดูว่าในหนังเรื่องนี้จะมีคำตอบที่ผมต้องการรึเปล่า

  6. ช่อแก้ว Says:

    ตอนนี้ยังไม่ได้ไปดูหนังเลยค่า
    เหมือนเดิมคือไม่ว่าง
    แต่หยิบหนังสือรุ่นและก็โทรไปหา เขียนโปสการ์ดบ้างจดหมายบ้าง
    ตามหาเพื่อนเก่า ตามหาความทรงจำครั้งเก่า
    ตอนนี้ทุกๆคนโตขึ้น และไม่ว่างเหมือนกันเลย
    แต่ก็ยังที่ดีที่ลืมกัน
    กำลังลุ้นะทึกว่าเพื่อนที่ไม่ได้เจอกัน 9 ปีตอนนี้หน้าตาเป็ฯอย่างไร
    รอวันที่มันจะมาหาอย่างลุ้นระทึก

  7. หน้ากลม Says:

    ” แกคิดเหรอว่า ถ้าชั้นเป็นนายก แล้วนายจะได้เป็นแค่ยาม”
    ประโยคนี้สะท้อนความคิดเห็นของคนในสังคม
    ทั้งบวกและลบได้ดีทีเดียว ว่ามั้ยคะ


  8. ” แกคิดเหรอว่า ถ้าชั้นเป็นนายก แล้วนายจะได้เป็นแค่ยาม”
    ยังไม่ได้ดูหนังหรอกครับ (จะได้ดูได้ไงล่ะ…ทุกท่านคงรู้สถานภาพของผมดี) แต่แค่ประโยคนี้ก็ทำให้ผมอยากไปหาDVDของหนังเรื่องนี้ดูทันทีเมื่อกลับเมืองไทยครับ มันแทงใจผมมากๆ มันทำให้ผมคิดว่าก่อนหน้าผมเป็นคนเห็นแก่ตัวแค่ไหน ผมไม่เคยคิดหรอกครับว่าประโยคที่คิดถึงเพื่อนได้ขนาดนี้จะระคายจิตใจอันกระด้างของผมได้ขนาดนี้ แค่นี้ผมก็ต้องกลับไปคิดแล้วล่ะครับว่าผมควรให้ความรักกับเพื่อนให้มากขึ้นแค่ไหน เพื่อนกันต้องไม่ทิ้งกัน มันไม่ใช่แค่คำพูดแต่ ต้องทำให้ได้จริงๆ และมันจะถูกพิสูจน์เมื่อใครสักคนอยู่ในสถานการณ์ที่ต่ำกว่า อย่างในหนังฉากนั้นล่ะครับ “ถ้าผมเป็นนายกฯ เพื่อนๆของผมต้องไม่เป็นแค่ยามครับ!!!”

  9. yayaa Says:

    ยังไม่มีโอกาสได้ดูค่ะ
    แต่อ่านแล้วรู้สึกใจหายจริง ๆ

  10. snowflake Says:

    ไปดูมาแล้วค่ะ

    ชอบมากๆๆตอนที่ลุงถามว่าความรู้คืออะไร ลุงเดินถามเพื่อนๆๆไปเรื่อยๆๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะตอบไม่ได้ทันทีว่าความรู้คืออะไร น่าแปลกมั้ยว่าทำไมคนเรามีแต่ชอบพูดว่าต้องเรียนนะ ตั้งใจเรียนนะจะได้มีความรู้ แต่เอาเข้าจริงๆๆแล้วเราก็ยังไม่สามารถนิยามความหมายของความรู้ในแบบฉบับของตนเองได้เลย…..
    ตอนที่ได้ฟํงแล้วก็ยังกลับมานั่งถามตัวเองเลยว่านี่เรารู้หรือเปล่าว่าความรู้หมายถึงอะไร

  11. ** tiew Says:

    อีก 1 ปี นับแล้วเค้าเหลืออยู่ 384 วันอ่ะ

    น่ากลัวมากมาย มีแต่คำถามในกลุ่มเพื่อน ว่า แกจะเรียนอะไร

    เข้าที่ไหนดีวะ คะแนนสูงสุดต่ำสุดของมหาลัยนี้เท่าไหร่อ่ะ

    แต่เมื่อเราเรียนจบเราก็ต้องอยู่ในมหาลัยเหมือนกันแหละ

    แต่เป็นมหาลัยชีวิต งัย……

    บางครั้งคำตอบอาจไม่ใช่จุฬาหรือะรรมศสตร์ แต่อาจจะเป้นที่ไหนซักแห่งนึง
    คนเรามักตัดสินคนที่มหาลัยที่อยุ่

  12. jummdcu Says:

    เพิ่งได้ดูเมื่อบ่ายนี้ เหมือนย้อนไปสู่เหตุการณ์สิบกว่าปีก่อน
    ดูแล้วรู้สึกเหมือนกับ คุณปอนด์ และ snowflake
    ถ้าคนที่กำลังเตรียมตัวเอนทรานซ์อยู่คงจะอินน่าดู
    แล้วก็จะได้กลับมาถามตัวเองเหมือนกันว่า
    “ความรู้คืออะไร”

  13. Firefly Says:

    ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เราอยากกลับไปเอนทรานซ์ใหม่…

  14. หมี Says:

    แปลกจังดูจบแล้วอยากร้องไห้ แต่น้ำตาไม่ไหล
    อินอยู่ในใจ (ร้องออกมาเลยมันน่าจะดีกว่าเยอะ)
    คิดถึงเพื่อนมาก
    คิดถึงความสุข ความสนุก โลกใบเล็กๆใบนั้น ใบที่ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าดีสุดๆ

  15. noo+wan Says:

    ยังไม่ได้ดู แต่เพิ่งรู้สึกแบบเดียวกัน เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
    เพราะกลับไปรับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่นที่มหาลัย
    เป็นงาน bye nior ของคณะนิเทศ ได้อยู่ร่วมงานกับน้องๆ
    เห็นความบ้าบอ เห็นความไร้สาระ แล้วก็ขำ
    อยากกลับไปอยู่ตรงนั้นอีก

    ชวนเพื่อนไปเพียบ แต่ไปจริงแค่ครึ่งเดียว
    เพราะภาระหน้าที่ เพราะโลกที่ต่างคนต่างต้องเจอ มากกว่าเพื่อน
    แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะถือรางวัลไปต่อข้าวสารกับพวกมัน 55

    อ่าน blog ของเธอจบ อยากจะไปดูตอนนี้เลย
    แต่เพราะโลกที่กำลังต้องเจอมากกว่าเพื่อน สงสัยจะยังไม่ได้ไป
    เฮ้อ!

    แล้วคุยกันนะ


  16. พี่เอ๋…..

    เมื่อคืนนี้…..
    เพื่อนหนูอ่านเรื่องนี้ของพี่แล้วเค้าร้องไห้
    น้ำตาลูกผู้ชายมันไหลออกมาค่ะ
    เค้าคงรู้สึกเหมือนที่พี่เอ๋เขียน

  17. pattararanee Says:

    เราได้ดู ไฟนอลสกอร์ ตั้งรอบครึ่งแหน่ะ ^^”
    ในครึ่งแรกที่ดู พอหนังจบ…เดินออกจากโรงฯ เราเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธอคงอยู่ในยามเอ็น สะ ท้าน ทรวงนี้ด้วยกระมังหรือว่าอาจคิดถึง “เพื่อน” มาก…
    …เธอยืนร้องไห้ตรงทางเดินก่อนออกจากโรงหนัง เพื่อนกำลังปลอบโยน…

    การที่เราได้รู้ตอนจบของหนังก่อน เป็นเหตุบังเอิญ แต่นั่นก็ทำให้เราได้เห็นเด็กผู้หญิงคนนั้น…

    มันเศร้ากว่าในหนังเสียอีก…

    ปล. 1. เหตุบังเอิญนี้มัน น่าอายมั่กกมากกก
    2. น้องฤดูฝนคะ พี่เป็นเหมือนเพื่อนหนูเลยค่ะ TT_TT

  18. มูราคิ Says:

    ก็นี่ไง เพื่อจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดาย
    ก็มีความสุขกับปัจจุบันไง

    มัวแต่มองผ่านกรอบนู้นกรอบนี้ แล้วก็มานั่งเสียดาย
    ตรรกะมันไม่ได้ยากอะไรเลย
    นิ้วกลมเขียนมาเหมือนจะเข้าใจดี แต่ก็ไม่เห็นจะเข้าใจ

  19. jummdcu Says:

    สุดท้ายมันก็ผ่านไป
    ด้วยความเข้าใจ


  20. การเอ็นทรานซ์ แบบฝึกหัดของเด็กม.6
    ตอนนี้เราก็เจอแบบฝึกหัดที่มันยากขึ้น เหมาะสมกับวัย

    หรือ…
    จะมีใครจ้างให้เราเรียนหนังสือมั้ย
    บอกเราด้วยนะ
    ขอทำเลย
    ช่วงเรียนน่ะ เป็นความทรงจำที่หอมหวานมากมากเลย

    ขอบคุณ_final score
    ชอบจัง

  21. ตุลาคม Says:

    เราก็ชอบเหมือนกัน…ไปอย่างไม่คาดหวังว่ามันจะดี
    ไปอย่างไม่จับผิดว่ามีสคริปหรือไม่มีสคริป…

    ไปดูเพราะ..อยากดู..
    ดูเสร็จแล้วรู้สึก..อิ่ม จังเลย…

    นึกถึงตอนจะเอ็นฯ เครียดจนร้องไห้ทุกวัน..จะบ้าตาย
    ตอนนี้มานั่งนึกย้อนไปถึงอดีต ก็ตลกดี..ชีวิตคนเรา ทำไมต้องทำให้มันลำบากขนาดนั้นด้วย…..

    ดูหนังจบแล้ว..อยากกระโดดขึ้นรถไฟไปไหนซักที่ คงจะดี..

  22. นิ้วกลม Says:

    คุณมูราคิครับ
    มีความสุขกับปัจจุบันก็มีอยู่ครับ
    แต่เวลาเห็นความสุขในอดีตที่โคตรสุขเลย
    แล้วมันคิดถึ้งคิดถึงน่ะครับ ฮ่าฮ่า ก็เท่านั้นเองครับ
    😀


  23. ไปดูมาเมื่อวันจันนี้ค่ะ…ถ้าพูดกันตามตรงหนังมันก็ไม่ได้ดีอะไรมากมายหรอก
    แต่…..
    หนังเป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนภาพตัวเราวันเก่าๆออกมา ตัวตนเก่าที่ดูเลือนลางเข้าไปทุกวันๆ แม้ผ่านมาแค่ไม่ถึงปี แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนๆกับเราจะห่างกันเหลือเกิน….รู้สึกภูมิใจที่ตัวเองเอ็นติดแต่ก็รู้สึกเสียใจที่คนที่เข้าขยันกว่าเราเป็นร้อยเท่าพันเท่าไม่มีโอกาสเหมือนเรา ยอมรับว่าละอายใจจริงๆที่เข้ามาในมหาลัยที่คนอยากเข้ามากที่สุดได้ แต่ทำตัวสบายไปวันๆชิลไปวันๆ …
    สัญญาเลยว่า ต่อไปนี้จะตั้งใจเรียนแทนคนที่ไม่มีโอกาสได้เรียนที่นี่…
    ตื้นตันกับหนังมากๆค่ะ*-*

  24. SkySeries Says:

    อารมณ์เดียวกัน .. ดูแล้วคิดถึงเพื่อน

  25. พุงกลม Says:

    พอเห็นคุณนิ้วฯ เขียนถึงเรื่องนี้ ก้อเลยยังไม่อ่าน ไว้รอไปดูก่อนแล้วค่อยมาอ่าน

    ไปดูมาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ชอบจัง ไม่ใช่หนังที่ยิ่งใหญ่อะไรแต่ก็ทำให้เรามีความสุข ยอมรับว่าเราไม่ได้เครียดมากเหมือนน้องๆ สมัยนี้ แต่ว่าก็ไม่ใช่ว่าไม่เครียดเลย ฉากที่บิ๊กโชว์ไปร้องไห้ เราน้ำตาไหลเลยง่ะ แบบว่าสงสารสุดๆ (แต่ล่าสุดน้องเขาน้ำหนักลงไปสามสิบโลแน่ะ 55)

    ปล. น้องเปอร์กวนติงมากๆ เวลาคุยกับคุณแม่

  26. pattararanee Says:

    เมื่อคืนดูสัมภาษณ์ผู้กำกับ และผู้ถูกถ่ายฯ ในรายการเจาะใจ
    ดูแล้วก็รู้สึกว่า โหด มันส์ ฮา มากๆ
    โดยส่วนตัวเราบอกกับเพื่อนไปว่า สิ่งที่ประทับใจในหนังสารคดีเรื่องนี้คือ การตัดต่อเรื่องและภาพมากที่สุด ยิ่งพอดูในรายการแล้วก็ยิ่งทึ่งกับม้วนเทปเหล่านั้น
    ช่างมีความอดทนกันดีทุกฝ่าย…เลยจริงๆนะ นับถือๆๆๆ!!
    ^_^

  27. Firefly Says:

    ชีวิตเราตอนช่วงเอ็นทรานซ์ เราอยากเรียนเกี่ยวกับศิลปะมาก แต่เราเรียนสายวิทย์-คณิต มา ก็เป็นการยากที่จะข้ามไปสอบสายศิลป์ อีกทั้งที่บ้านเราก็ไม่สนับสนุน แต่เค้าก็ไม่ได้ให้คำแนะนำอะไรนะ มันทำให้เราเคว้งเหมือนกัน แต่ในที่สุดเราก็เอ็นฯติด คณะเกษตร ซึ่งตอนนั้นเราก็ดีใจนะ แต่ตอนนี้ไม่ดีใจแล้ว เพราะไม่ใช่สาขาที่ตลาดแรงงานต้องการเลย เราไปสมัครงานที่ไหนมักจะมียกเว้นคนที่เรียนจบสาขาเกษตรมาด้วยทุกครั้งเลย แต่เราก็เข้าใจนะว่าสมัยนี้เค้าก็ต้องการคนที่จบตรงสาขา จะได้ไม่ต้องมาสอนงานกันอีกมากนัก แต่เราเสียใจอยู่อย่างทำไม เราไม่มีใครที่เป็นที่ปรึกษาให้เราบ้าง พ่อกับแม่ก็บอกว่าตามใจเรา แต่เราก็ไม่รู้จะไปทางไหน สุดท้ายก็จบลงที่คณะที่คะแนนสอบไม่สูงนัก ถ้าย้อนวันเวลากลับไปได้เราอยากเรียนมหาวิทยาลัยเปิดมากกว่า หรือสถาบันราชภัฏก็ได้ โอกาสก็มากกว่าด้วย ถ้าเป็นคณะที่ต้องการของตลาดแรงงาน

  28. ตั้ม Says:

    ขออนุญาตินำข้อความนี้ส่งให้เพื่อนเก่าคับ

  29. roundfinger Says:

    ได้เลยครับตั้ม
    ยินดีครับ.
    😀


  30. ชอบครับหนังเรื่องนี้ คิดถึงชีวิตวัยเยาว์ดีครับ
    เรื่องนี้ผมเขียนไว้ที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amp-atom&month=05-2007&date=17&group=2&gblog=41


ส่งความเห็นที่ pattararanee ยกเลิกการตอบ