ศิลปะแห่งความจริงใจ

กุมภาพันธ์ 18, 2007

‘ความจริงใจ’ เป็นศิลปะประเภทหนึ่ง
ไม่ง่าย ที่เราจะทำตัวจริงใจกับใครสักคน
มีเพียงบางคนเท่านั้น ที่เรากล้า ‘จริงใจ’ ใส่เขา
บางคน จริงใจมากเกินไป ก็อาจทนกันไม่ไหว
รับกันไม่ได้ และอาจฟูมฟายนำไปสู่การเลิกคบหา

การพูดจากันด้วยความจริงใจหาได้ยากในบทสนทนาของคนเพิ่งรู้จัก
แต่ก็ไม่เสมอไป บางคน เพิ่งรู้จักกันก็ซัด ‘ความจริงใจ’ ใส่กันโครมๆ
อาจมีอะไรบางอย่างบอกใบ้กับเราว่า ไอ้คนนี้ ‘จริงใจ’ ใส่มันได้

เราจึงมักหยั่งเชิงอยู่พอสมควร ก่อนที่จะ ‘จริงใจ’ กับใครสักคน
ด้วยรู้ฤทธิ์แห่ง ‘ความจริงใจ’ ดี

แหม ใครจะกล้าทัก คนที่เพิ่งเจอว่า “น่ารักจังเลยค่ะ แต่กลิ่นตัวเหม็นยังกะปลาร้า!”
หรือ “เสื้อกล้ามตัวนี้สวยดีนะคะ แต่ก่อนใส่น่าจะตัดขนจั๊กกะแร้ก่อนนะคะ”
หรือ “ช่วงนี้ทำงานหนักเหรอครับ หัวเถิกเชียว”

มันก็จริงใจกันเกินไป

‘ความจริงใจ’ จึงเป็นศิลปะ
และหากมีใครเปิดสอนคอร์ส ‘ศิลปะแห่งความจริงใจ’ เราอยากไปสมัครเรียน
ความจริงใจเคยทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเพื่อนสนิท ‘ร้าว’ มาแล้ว
แม้ยังคบหากันอยู่ แต่รอยร้าวก็ยังคงร่องรอยไว้ ยากจะกลับไป ‘สนิท’ ดังเดิม

การที่จะพูดจา ‘จริงใจ’ จึงต้องอาศัยศิลปะ
‘สาร’ แห่งความจริงใจน่าจะถูกส่งออกไปพร้อมกับความเข้าอกเข้าใจ
และความปรารถนาดี เมื่อนั้น ‘ความจริงใจ’ จะสวยงาม
ไม่ห่าม ไม่ดิบ ไม่แข็ง ไม่รุนแรงจนเกินไปนัก

ทุกครั้งที่ได้รับคำแนะนำจากเพื่อน, พี่, น้อง ที่จริงใจ
เรามักรู้สึกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนนั้นกระชับแน่นขึ้น

ยิ่งสนิทกัน เรายิ่งกล้าพูดจากันจากใจ
ยิ่งพูดจากันจากใจ เราก็ยิ่งสนิทกัน

เราชอบคนจริงใจ และเชื่อว่าใครๆ ก็คงชอบ
เราพยายามจริงใจกับคนที่จริงใจได้
และหวังว่าเขาจะจริงใจกลับมา

แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยชอบความจริงใจมากนัก
ก็ต้องรักษาระยะให้พอเหมาะ

วันนี้ได้รับข้อความดีๆ ที่จริงใจจากพี่ชายคนหนึ่ง
เขาระมัดระวังคำพูดคำจามากๆ ว่าจะทำร้ายน้องชาย
ทุกถ้อยคำเต็มไปด้วยปรารถนาดีและความจริงใจ
เมื่อได้ฟังแล้ว ไม่มีเลยที่เราจะโมโห ไม่เข้าใจพี่
มีแต่ที่ได้ยินแล้วอยากยกมือไหว้

ความจริงใจ จึงไม่ใช่ทั้งการเลือกที่จะไม่พูดเรื่องที่ไม่ถูกใจ หรือเรื่องที่เรารู้สึกแย่
และก็ไม่ใช่การสักแต่จะพูดออกไป โดยไม่คิดถึงจิตใจของฝ่ายที่รับฟัง
หากแต่ เป็นการเริ่มต้นการพูดจาด้วยเจตนาที่ดี และถ้อยคำที่นุ่มนวลชวนให้คิดตาม

‘สาร’ ก็ยังส่งผ่านไปเท่าเดิม

ในชีวิตเรา เราต้องการคนพ่น ‘ถ้อยคำจริงใจ’ ใส่รูหูอย่างสม่ำเสมอ
เรื่องที่เผลอ เราต้องการคำตักเตือน
เรื่องที่พลาด เราต้องการคำท้วงติง
เรื่องที่ผิดใจกัน เราต้องการคำบอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
เพื่อนประเภทนี้ จะช่วยชี้ให้เรามองเห็นด้านอื่นที่ไม่เคยมอง
ได้ฟังแล้วตรึกตรองก็จะมองเห็นปัญหา นำไปสู่การพัฒนาต่อไป

คบคนจริงใจไว้เยอะๆ ย่อมดีกว่าคบคนขี้ป้อยอ
ติเพื่อก่อ ย่อมดีกว่า ชมเพื่อรอให้มันเลี้ยงข้าว!

เรื่องคำชม ไม่ต้องห่วงหรอก
เพื่อนที่จริงใจก็ยินดีหยิบยื่นให้เราในวันที่เขาเห็นว่า น่าชม
และคำชมนั้นคงมีค่าเข้าไปอีกหลายเท่า
เมื่อเรารู้ว่า ออกมาจากปากของคนที่พูดจากใจจริง

วันนี้เป็นวันที่ได้เรียนรู้ สิ่งที่เคยรู้มานาน
แต่ได้รู้ซึ้งขึ้น เมื่อพบเจอความจริงใจที่ชวนให้รู้สึกดี
จึงอยากบันทึกบอกกับตัวเองไว้อีกทีว่า
ใครๆ ก็ชอบ ‘ความจริงใจ’ กันทั้งนั้น

แต่ความจริงใจที่แล้งไร้ศิลปะ ก็อาจทำร้ายมนุษย์ได้ไม่แพ้คำยกยอปลอมๆ

‘การทะนุถนอมหัวใจ’ กับ ‘ความจริงใจ’
จึงเหมือนสองด้านของเหรียญเดียวกัน มีทั้งสองด้านจึงจะมีค่า

และเวลาที่มีคนแสดงความจริงใจกับเราด้วยโดยไม่ลืมทะนุถนอมจิตใจ
ยิ่งทำให้เรา ‘รัก’ คนคนนั้นมากยิ่งขึ้น

ขอบคุณพี่ชายคนนั้น

ด้วยความจริงใจ.

51 Responses to “ศิลปะแห่งความจริงใจ”

  1. jummdcu Says:

    ” ความจริงใจ ” เป็นศิลปะในการใช้ชีวิตแบบหนึ่ง
    ที่พึงมีติดตัวไว้เสมอ และควรมอบให้คนรอบข้างด้วย
    คนที่จริงใจมักจะมองโลกในแง่บวก
    มีความห่วงหาอาทรให้แก่ กัน-และ-กัน
    ถ้าส่งสารที่ดีด้วยจะยิ่งดีขึ้นไปอีก (จริงๆนะ)
    คนที่จริงใจต่อกันแค่มองตา ก็สื่อความรู้สึกถึงกันได้
    คบคนที่จริงใจกับเราไว้ซักคนสองคน ชีวิตนี้ก็คุ้มแล้วเนอะ

  2. pattararanee Says:

    จริงใจ = ใจจริง
    ใจเป็นยังไง ก็จริงไปเท่านั้น
    เป็นกระจกกันดีไหม ให้ไปเท่าไหร่ มันก็กลับมาเท่านั้น

    เป็นธรรมดาที่ต้องใส่ศิลปะเข้าไปในความจริงใจ
    หากนั่นกลับเป็นสิ่งซึ่งยากยิ่ง สำหรับคนจริงใจที่ไม่ได้ฝึกร่างภาพใดๆ เอาไว้ก่อน จึงมักทำอะไรโง่ๆ ทั้งที่จริงใจ ^^”


  3. เอ่ ไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยนะเนี่ย
    การทะนุถนอมหัวใจกับ ความจริงใจ

    ถ้ามันอยู่ด้วยกันก็เจ๋งเลยเนอะ
    แต่ก็อย่างที่พี่pattararaneeว่า
    คนจริงใจมักจะทำอะไรโง่ๆทั้งที่จริงใจ
    …นึกถึงพี่เลี้ยงเด็กในหนังเรื่องbabelเลย

    แต่ก่อนเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนจริงใจ
    แต่เดี๋ยวนี้ไม่กล้าพูดแล้ว
    ยังไงก็ไม่รู้
    แต่ก็ไม่ได้ป้อยอนะ
    แค่เก็บอะไรไว้มากขึ้นมั้ง ไม่รู้ดิ สับสัน
    เพราะไม่อยากเป็นคนไม่จริงใจน่ะ


  4. ก็คงจะจริงล่ะครับ จริงใจเกินไปบางครั้งก็เกินจะรับ แต่ว่าสำหรับผม ผมเกลียดคนที่เสแสร้งมากกว่า จริงใจพูดออกมาตรงๆ ถึงจะเป็นเรื่องไม่ดีอย่างมากก็เสียใจครับ(แต่ถ้าเยอะเกินก็อาจจะทนคบไม่ไหว) แต่เสแสร้ง ครั้งเดียวก็เสียความรู้สึกครับ สำหรับผมรับไม่ได้เลยแหละ คนเสแสร้ง จริงใจเป็นศิลปะจริงๆล่ะครับ

  5. odigimon Says:

    อ่านแล้ว อืมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม … ม
    ลึกโคตร

    ไม่มีความเหนอะ


  6. คำที่คนชมชอบฟัง ล้วนเป็นคำที่คนไม่ควรฟัง…ถึงอย่างไรก็แล้วแต่คนก็ยังชมชอบ
    เนื้อหาของบทสวดช่างลึกซึ้งล้วนมีสาระ คนบอกท่องไม่เป็นไม่เข้าหู…เพลงยุคนี้บอก เธอรักฉัน ฉันรักเธอ เด็กบอกกูจำได้หมดเพราะแม่งมันส์ ซึ้งชิบหาย
    นี่คือศิลปะได้หรือไม่…เด็กสิบห้ายุคนี้ออกเทปเพียงหนึ่งชุดก็เรียกกล่าวขานว่านี่คือศิลปิน
    น่าแปลก…บางครั้งคนที่อยู่กับความจริง กลับเป็นคนที่น่ารันทด กลับเป็นคนที่ดูหว้าเหว่
    อย่างไรก็แล้วแต่…เงาที่สาดส่องในตัวเขาก็ยังเป็นเงาเขาเอง มิใช่เงาของคนอื่น
    ด้วยความที่เป็นคนไม่เก่งเรื่องการใช้คำพูดแบบชมไปด่าไป…จึงขอร่วมแสดงความคิดเห็นไปในทางเดียวกันด้วยว่า ติแบบให้ไม่เสียน้ำใจช่างยากยิ่ง
    ขอค้านแค่เรื่องหนึ่ง…เรื่องเหรียญสองด้าน อาจมีเพียงด้านเดียวก็มีค่าได้แต่ต้องเป็นด้านที่มีความจริงใจ
    ไปนั่งนับดูได้…มีกี่คนที่มีติบ้าง ชมบ้างในที่นี่
    นี่แหละที่เอ๋ต้องคิดหนัก เพราะที่นี่ไม่ใช่สิงคโปร์(โตก)…เอ๋รู้ไหม ตอน ลีกวนยู เป็นผู้นำ มีฝ่ายค้านผ่านเข้าสภามาหนึ่งคนมันยังโกรธชิบหาย!!!
    ………………….

  7. tiktok Says:

    แวะมาเยี่ยมค่ะ เพิ่งกลับจากต่างจังหวัด ยังไม่มีเวลาอ่านเลยนะคะ แต่เดี๋ยวค่ำๆ จะแวะมาใหม่ 🙂

  8. roundfinger Says:

    อ้อ ลืมบอกไปครับพี่สิบ
    การเขียนบล็อกโดยมีไอ้ช่องคอมเม้นท์อยู่ข้างล่างนี่แหละครับ
    เป็นประตูเปิดรับสมาชิกฝ่ายค้านเลยเชียว
    และผมก็ได้เรียนรู้จากฝ่ายค้านอยู่บ่อยๆ ชอบครับ
    😀

    แต่ก็ไม่อยากให้เป็นอย่างสภาไต้หวันน่ะครับ
    ที่อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาตะบันกำปั้นใส่หน้ากัน
    เอาแบบไทยๆ ฮาๆ ขำๆ ค้านกันแบบคุณไตรรงค์น่าจะหนุกกว่า

    อ้อ แต่สำหรับพี่สิบ ผมรับได้เต็มที่ เชิญได้เต็มที่ครับพี่
    ถ้ากำปั้นลอยมา เดี๋ยวผมหลบเอง ฮ่าฮ่า…
    😀


  9. อย่างนี้สิ…เรียกว่าโตเต็มที่แล้ว
    ไปอ่านข้างบนอาจดูเหมือนพี่แรงๆนะ…แต่บอกตรงๆไม่มีอะไรเลย สำนวนมันแย่ๆ เขียนแต่เรื่องโหดๆเลยติดมาทุกวันนี้ อย่าถือสานะ

    ปล.ถามเอ๋นิดนึงไอตัวการ์ตูนอยู่ตรงไหนครับ อยากใส่ลงไปบ้างเพื่อลดความหยาบ พี่หาไม่เจอเลย T-T

  10. ปอนด์ Says:

    จริงใจ+แคร์ความรู้สึก = รู้สึกดี 🙂

  11. tuktik Says:

    สวัดีคะ ชื่อติ๊กคะ คือ…แบบว่าได้อ่านblogของพี่แล้ว ชอบมากๆเลยคะ
    บางอันอ่านแล้ว มันใช่ มันโดน กินใจมั๊กๆ ปกติเเป็นคนที่เขียนภาษาแบบนี้ไม่เป็น เขียนไม่ได้ เลยบรรยายความรู้สึกของตัวเองไม่ถูก ถ่ายทอดไม่เป็น พี่คงไม่ว่าไรนะคะถ้าจะขอเข้ามาอ่านblogนี้บ่อยๆ หวังว่าสักวันเราคงได้แลกเปลี่ยนความคิดกันบ้างนะคะ ฝากเนื้อฝากตัวคะ

  12. สิ Says:

    ดีใจที่ได้อ่านจากใจจริง 🙂

  13. jummdcu Says:

    คุณสิบเดซิเบลเม้นได้ ‘ใจ’ จังค่ะ
    เป็นอีกมุมที่น่าสนใจ
    ชอบเหรียญด้านเดียวก็มีค่าได้
    ถ้าเป็นด้านที่มีความ ‘จริงใจ’ 😀

  14. 11:05 Says:

    วิธีกำเนิด “ตัวไอคอนการ์ตูน” ง่ายมากค่ะ คุณ 10เดซิเบล

    เพียงแค่ กดตัว colon ( : ) ตามด้วย ตัวดี (D)
    ในกรณีที่อยากยิ้มกว้างโชว์ฟันขาว 😀

    หรือ colon ( : ) ตามด้วย วงเล็บปิด ( ) )
    อันนี้ถ้าอยากอมยิ้มแบบยักคิ้วหลิ่วตาค่ะ 🙂

    เพียงเท่านี้ก็จะได้ M&Mเม็ดเหลือง ที่ละลายในตา แต่ไม่ละลายในมือแล้วค่ะ

    ถือวิสาสะตอบคำถามแทนคุณนิ้วกลม อย่างจริงใจ ค่ะ…

  15. ระริน Says:

    มองที่พื้นฐานดีกว่า
    ถ้ามันเกิดจากความหวังดี
    เราก็ต้องขอบคุณเขา

    มีคนฝากมาบอกว่า
    เนปาลประมาณสะดือ

    เขียนง่ายไปหน่อย
    เหมือนอ่านสมุดบันทึกเลย

    เราก็ว่างั้นนะ
    อ่านนานมากกว่าจะจบ
    ไม่ใช่หนังสือหนาหรอก
    มันไม่ค่อยน่าสนใจอ่ะ

    ปล.พื้นฐานจาก ความหวังดีนะค่ะเนี่ย
    เลยจริงใจ


  16. มีสามเรื่องครับที่จะขอพูด…
    หนึ่ง…เรื่องความต้านทานของคน วงจรไฟฟ้าบางครั้งไม่เหมือนกันแต่ละวงจรจึงต่างกัน ค่าความต้านทานในวงจรก็ต่างกันไปด้วย
    บางครั้งคนก็คล้ายกับเรื่องวงจรที่กล่าวนี่แหละครับ…ความต้านทานของคนนั้แหละที่ไม่เท่ากัน
    ไปด่าพ่อไอปื๊ดมันอาจร้องไห้…แต่ไปด่าพ่อไออ้วนมันอาจชกเรากลับ คนเรามีภูมิคุ้มกันที่ไม่เท่ากัน
    แต่ชีวิตคนดีกว่าวงจรไฟฟ้าที่บอกครับ…เพราะว่าเมื่อวงจรความต้านทานในใจของเราช็อตมากขึ้น บ่อยครั้งขึ้น มันจะเพิ่มค่าความต้านทานให้ตัวเองไปเรื่อยๆ มากขึ้นไปเรื่อยๆ แต่กับวงจรไฟฟ้าแค่ไหนแค่นั้น
    คราวนี้อยู่ที่เราและครับ…ว่าอย่างมีความต้านทานแบบไหน แบบวงจรไฟฟ้า หรือแบบธรรมชาติของมนุษย์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
    เป็นคนทำงานประเภทนี้จึงต้องรบกับเรื่องพวกนี้ไปเรื่อยๆ เรื่องข้อโต้แย้งคำวิจารณ์(ที่เข้าท่านะ)
    การเป็นคนที่อารมณ์อ่อนไหวง่ายนั้นไม่ผิดหรอกครับ เพราะในอาชีพเช่นนี้ไม่มีอารมณ์คงทำงานให้ได้ดียาก(แต่อย่ามากไปก็พอครับ…ถึงตรงนี้หลายคนที่รูจักผมคงบอกว่ามึงนั่นแหละตัวดี)
    อันไหนเข้าท่าเก็บเอามาคิด…อันไหนไม่เข้าท่าก็ด่ามันกลับไป ให้ข้อโต้แย้งกลับไป
    ถ้าเรามัวคิดมากคงทำงานไม่ได้กันพอดี…แนะนำให้ไปดูตัวอย่างปราบดาครับ เขาเป็นคนที่นิ่งและน่ารักมาก (ยังคิดแบบเล่นๆ ถ้าเอ๋โดนแบบคุ่นคงเลิกเขียนหนังสือไปเลยแน่ๆ)
    อันนี้รักเลยอยากแนะนำนะครับเอ๋
    สอง…ขอทดสอบตัวยิ้มนะครับ และขอบคุณมากสำหรับคำตอบครับ ขอบคุณคุณที่ไม่เอ่ยนามจริงๆ:D 🙂
    สาม…หมอจุ๋มครับ ที่ได้อารมณ์(หรือได้ใจก็แล้วแต่)เพราะว่าเมาอีกแล้วครับ

    สี่…(ไหนมึงบอกว่าจะแค่สามไง?)
    คุณระริน ผมอ่านงานเอ๋น้อยมากแต่ไม่เห็นว่ามันจะง่ายตรงไหนนะครับ เขาเขียนง่ายๆก็ดีแล้ว ผมคิดว่าอย่างนั้น ส่วนเรื่องน่าสนใจของคนนั้นต่างกันครับ บางคนอาจบ้าคนทรงเจ้า บางคนอาจชอบอวกาศอันนี้แล้วแต่รสนิยมนะครับ ชื่อเสียงและการตอบรับจะเป็นตัวตัดสินได้อย่างดีครับ
    ผมค่อนข้างไม่เข้าใจกับเรื่องงานในวงการเท่าไหร่ บางงานตัดสินกันที่ศัพท์แสงต้องลากคนรุ่นแม่มาช่วยแปลให้ จึงถือว่าเป็นงานวิเศษได้ เขียนงานแบบนั้นไม่ได้ยากหรอกครับ แต่อาจเป็นเพราะว่ามันไม่จำเป็นต้องเหมือนกันก็ได้ใช่ไหมครับเรื่องวิธีการทำงาน

    พูดมามากมายตามประสาคนขี้บ่น…คราวหน้ามาใหม่ครับ
    เดินไปโรงเรียน…วิ่งโรงเรียน ขับรถไปโรงเรียน ใครถนัดแบบไหนน่าจะเป็นวิธีของแต่ละคนนะครับ ขออย่างเดียวให้ถึงจุดหมายและปลอดภัยไม่เอาเปรียบใครก็เป็นพอนะครับ

  17. pattararanee Says:

    มาหนับหนุนลุงสิบงับบบ (เรียกตาม น้องอ้อย นะคะ) ^^”

    เรื่องนี้จ้า “ใครถนัดแบบไหนน่าจะเป็นวิธีของแต่ละคนนะครับ ขออย่างเดียวให้ถึงจุดหมายและปลอดภัยไม่เอาเปรียบใครก็เป็นพอนะครับ”

    เห็นด้วยค่ะ

  18. jummdcu Says:

    ได้ใจไปอีกดวงละกันนะลุงสิบฯ
    อันนี้เรียกตามเอี้ยงค่ะ 😀

  19. 11:05 Says:

    แปลกใจ..

    เพราะ “เนปาลฯ” เป็นลูกคนโปรดเลยทีเดียว..

  20. SkySeries Says:

    ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาอ่านบล็อกนี้..

    ..เราคิดว่าบล็อกนี้เป็นบล็อกที่”จริงใจ”ค่ะ:)

  21. roundfinger Says:

    โอ้โห จริงใจกันใหญ่เลย ฮ่าฮ่า…
    ขอบคุณคุณระรินด้วยครับที่บอกความรู้สึกกันตรงๆ
    😀

    แหม พี่สิบนี่ยิ่งเมายิ่งแรงเยอะนะครับ
    ดีใจด้วยครับ ที่ ‘ยิ้ม’ เป็นแล้ว ดูอ่อนโยนขึ้นจมเลย ฮ่าฮ่า…
    😀

    สวัสดี ‘ติ๊ก’ ด้วยครับ เข้ามานั่งเล่นได้บ่อยๆ ครับ
    ยินดียินดี.
    😀

  22. oum Says:

    บางที เพื่อนที่จริงใจจะซ่อนตัวอยู่ในมุม และจะก้าวออกมาเวลาที่เราอ่อนแอ แต่พอเราแข็งแรงเมื่อไหร่ ไอเพื่อนคนนี้ก็จะค่อยๆ หลบเข้ามุมกลับเข้าไป
    และมุมนี้เป็นมุมที่เค้าเห็นเราทุกทิศทาง แต่เราอาจไม่เห็นเค้าทุกทิศทางก็ว่าได้ ถ้าไม่สังเกตอาจจะไม่รู้สึก

    : )

  23. ระริน Says:

    ถึงเจ้าของบล๊อก
    บอกตรงๆว่ากลับมาอ่านสิ่งที่ตัวเองเขียนแล้วอยากร้องไห้

    มันดีที่มีคนบอกเราว่าสิ่งที่เราทำ(เขียน)มันเป็นยังไง
    เขาชอบไม่ชอบยังไง แต่อย่างว่า

    เราก็แอบหวั่นไหวกับคำพูดนั้นอยู่ดี
    ถึงเราจะบอกตัวเองแล้วว่า ไม่เห็นเป็นไรเลย
    ก็มันเรื่องของฉันนิ

    เพราะอะไรรู้ไหม
    เพราะเรามีเรื่องคล้ายๆกัน

    กำลังจะออกจากงาน เพื่อไปเปิดคลีนิกเอง(รักษาสัตว์นะ)
    แล้วเราก็จัดการซื้อยาเต็มที่
    ถามน้องที่รู้จักกันว่าพี่บ้าเปล่าวะ
    ที่ยังไม่ได้ที่เปิดร้านดันซื้อยาแล้ว น้องมันตอบ
    พี่ยิ่งกว่าบ้าอีก..แป่ววว..

    ถามเพื่อนมันก็บอก “ฉันบอกแกแล้ว”
    เลยบอกมันไปว่าอันนั้นรู้แล้ว แต่ทำไปแล้วช่วยหาข้อดีให้หน่อยดิ
    มันเงียบ
    แต่ถามน้องที่มันบอกว่าเรายิ่งกว่าบ้า
    มันก็ตอบ”ก็ดีพี่เป็นการกดดันตัวเองว่ายังไงก็ต้องเปิดแน่นอน”

    บางทีเราก็ต้องมาถามตัวเอง..ว่าเราเจ๋งพอรึเปล่า
    ที่จะยืนยันสิ่งที่ตัวเองทำเนอะ

    ปล.สำหรับคุณ10เดซซิเบล
    ก็ใช่ไงค่ะแล้วแต่ความชอบ แล้วแต่วีธีการไปโรงเรียน
    ฉะนั้นเรามีสิทธ์แสดงความเห็นใช่ไหมจ๊ะ


  24. ถึงคุณระริน…คุณอ่านหนังสือไม่แตกนี่เอง
    แสดงความเห็นใครก็สามารถครับ…แต่การไปบ่นบ้าต่อว่าตำหนิวิธีคนอื่นนี่สิครับที่คุณทำ เราอาจไม่เห็นด้วยในวิธีของใคร แต่ไอการที่ไปบอกวิธีของใครมันง่าย ผลลัพธ์ของใครมันน่าเบื่อนี่มันตลกนะครับ
    สมควรหรือไม่…นั่นคือสิ่งที่คุณใคร่ครวญคิดนะครับ
    ขออนุญาตไม่ยิ้มนะครับ…

  25. ระริน Says:

    10เดซิเบล
    อ้าวเหรอค่ะ แป่วววว
    ไม่ยิ้มไม่เป็นไรค่ะ
    เพราะดิฉันยิ้มให้คุณแล้ว

    ตามใจคุณค่ะอยากว่ายังไงก็ได้
    และดิฉันจะคิดยังไงก็ได้จริงไหมค่ะ
    ตลกหรือไม่แล้วไงล่ะ

    ซีเรียสเกินไปหรือเปล่าคุณ

  26. แขก Says:

    กรุงเทพฯ
    😀
    นครปฐม
    😀
    ปัตตานี
    😀
    สระแก้ว
    😀
    ขอนแก่น
    😀
    ยะลา
    😀
    เพชรบูรณ์
    😀
    ลำปาง
    😀
    นราธิวาส
    😀
    แม่ฮ่องสอน
    😀

    😀

  27. pattararanee Says:

    พี่แขก หมายความว่า…
    ทุกคนอยู่กันคนละแห่ง มาจากคนละถิ่น แต่ว่าเป็นเพื่อนกันใช่ป่ะ
    เราคิดอย่างนี้ได้มั้ยคะ พี่แขก คุณนิ้วกลม????

  28. นิรนาม Says:

    เอ้า ยิ้ม ด้วยคน (ดุเดือดแหะ) 😀

  29. jummdcu Says:

    พี่แขกแจกยิ้มมากมาย
    แล้วคิ้วกำลังผูกโบว์อยู่หรือเปล่าเนี่ย
    เดี๋ยวจะช่วยคลายปมที่คิ้วให้นะ
    จะได้ไม่ปวดขมองไง
    ขอแจกยิ้มด้วยคนจ้า 😀

  30. yayaa Says:

    ไม่แปลกหรอกค่ะที่ของบางสิ่ง
    บางคนชอบบางคนไม่ชอบ
    หนังบางเรื่องที่คนชมว่าสนุกเรายังหลับเลย
    555

    เนปาลฯ เราก็ชอบมากค่ะ
    ได้อ่านตอนไปเที่ยวเนปาลรู้สึกดีจังค่ะ
    ( ยิ่งรู้ว่านิ้วกลมก็โดนปิดถนนเหมือนกันยิ้มออกเชียวค่ะ )

    ส่งยิ้มด้วยคน
    😀

  31. แขก Says:

    ขอทานยาจก
    😀
    ตลกคาเฟ่
    😀
    ลิเกหลังตลาด
    😀
    นักปราชญ์บัณฑิต
    😀
    นักคิดนักเขียน
    😀
    นักเรียนนักอ่าน
    😀
    ทหารตำรวจ
    😀
    นักบวชนักบุญ
    😀
    นายทุนนายจ้าง
    😀
    นักสร้างนักสรรค์
    😀
    นักฝันนักกระตุ้น
    😀

    😀

  32. pattararanee Says:

    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

  33. แขก Says:

    มาม่า ยำยำ ไวไว…


  34. นี่แหละโทษฐานของการอ่านหนังสือไม่แตก ทุกอย่างเลยกลายไปเป็นเรื่องยาก
    การไม่ยิ้ม มันแปลว่าเป็นการโกรธตรงไหน และการที่คนสองคนไม่ตอบเรื่องราวใดต่อ มันแปลว่า มันดุเดือดตรงไหน
    เรื่องมันบานปลาย…บางทีเพราะไม่ใช่คนแค่สองคนหรอกนะ ผมว่าอย่างนั้น

  35. แขก Says:

    เนปาลประมาณสะดือ
    😀
    กัมพูชาพริบตาเดียว
    😀
    โตเกียวไม่มีขา
    😀
    (เอ…คอมเม้นต์คุณสิบคงไม่ได้หมายถึงผมใช่มั้ยครับ
    งั้นจะได้ต่อนะครับ… 😀 )
    อิฐ
    😀
    สมองไหวในฮ่องกง
    😀
    บ้านพักฝากอากาศ
    😀

    😀

    ใครมาจากไหนก็ควรอ่านงานเขียนของนิ้วกลม
    ใครทำงานอะไรก็ควรอ่านงานเขียนของนิ้วกลม
    งานเขียนชิ้นไหนก็ควรอ่านถ้าเป็นงานเขียนของนิ้วกลม
    อ่านแล้วได้รู้จักเพื่อนจากที่ใหม่ๆ
    อ่านแล้วได้รู้จักเพื่อนจากอาชีพใหม่ๆ
    (โดยเฉพาะชุมชนบ้านพักฝากอากาศ)
    อ่านแล้วได้ระลึกความหลัง
    อ่านแล้วอยากให้ความหลังกลายเป็นความหลังอีกสักครั้ง
    (โดยเฉพาะเนปาลประมาณสะดือ)
    อ่านแล้วได้รู้จักความฝัน อ่านแล้วได้รื้อฟื้นความฝัน
    อ่านแล้วได้เพิ่มพลัง (โดยเฉพาะโตเกียวไม่มีขา)
    อ่านแล้วได้อื่นๆอีกมากมาย อื่นๆอีกมากมาย

    ด้วยความจริงใจ (ไม่จิงโจ้)

  36. pattararanee Says:

    ศิลปะแห่งความจริงใจ

  37. krittin Says:

    ความจริงใจ….หาได้จากไหน….ให้เค้าก็ใช่ว่าจะได้ตอบ แต่ก็รู้สึกดีทุกครั้งที่ให้ไป แม้จะได้ตอบบ้างไม่ได้ตอบบ้างก็ตามที ความจริงใจก็คงเปรียบเสมือนเพื่อน ชีวิตคนเราเกิดมาชาตินึงจะมีคนที่เราเรียกว่าเพื่อนได้เต็มปากสักกี่คน….มีมิตรแท้เพียงหนึ่งถึงจะน้อย ดีกว่าร้อยคนเทียมมิตรคอยอิจฉา เหมือนมีเกลือเม็ดน้อยด้อยราคา ยังมีค่ากว่าน้ำเค็มเต็มทะเล……………ผมมีความจริงใจมาให้ครับ

  38. แฟนนานุแฟน(แก้วเอง) Says:

    สิ่งที่เชื่อมาตลอดและจะไม่ยอมเปลี่ยนความคิดเลย
    แม้จะโดนเอาเปรียบและโดนทำร้ายมากแค่ไหน
    เราจะมองโลกในแง่ดีนะคะ เพราะโลกวันนี้ก็ร้ายพอแล้ว
    และความจริงใจจะทำให้สิ่งต่างดีขึ้นบ้างหรืออย่างน้อยก็ไม่เลวร้ายไปกว่าเดิม
    อืม

    ศิลปะแห่งการจริงใจต่อกัน

  39. ระริน Says:

    ชำ-ขำ
    อย่าคิดมากกันเลยคุณขา
    จริงๆไม่มีอะไรเลย

    แต่ว่าไปแล้วตอนแรกที่คุณ สิบ
    บอกว่าเราอ่านหนังสือไม่แตก
    ก็โมโหนะ

    แต่พอคิดๆไปเออ..หรือมันจะจริงอย่างเขาว่าวะ

    5555
    ก็ไม่กล้าเปิดอ่านเลยกลัวโดนอีกหลายดอก
    วันนี้ทำใจได้ละเลยเปิดดูสักหน่อยสิ
    ว่าคุณสิบเขาจะว่ายังไงมั่ง

    ขอบคุณค่ะคุณสิบที่ทำให้ได้ตรวจสอบตัวเองอีกเรื่อง
    คิดว่าอ่านหนังสือแตกนะ
    แต่เราอาจจะเข้าใจคนละอย่างรึว่าไงค่ะ

    จริงๆแล้วยังชื่นชนนิ้วกลมเสมอล่ะค่ะ
    ยิ่งได้อ่านสัมภาษณ์ยิ่งอยากให้เขาเจอแต่สิ่งดีๆ

  40. ตัวดี Says:

    ต่างคนต่าง…มุมมอง
    ต่างคนต่าง…ประสบการณ์
    ต่างคนต่าง……
    “นานาจิตตัง”
    แต่….สำหรับตัวดี
    เนปาลประมาณสะดือ “สุดยอด”
    อยู่ที่ว่าคุณต้องการ “หาอะไร” จากมัน
    …..

    เคยมั้ย….
    เกือบ “เสียเพื่อน”
    เพราะ….
    “ความปากหมา”
    ที่เกิดจากความหนิดหนม
    จากความเคยชิน
    แล้วคิดไปเองว่า “จริงใจ”
    ตัวดี…
    โดนมาแล้ว
    แต่..คำว่า “เพื่อน”
    เพื่อนที่พร้อมให้อภัย
    เมื่อเรารู้จักคำว่า “ขอโทษ”
    ที่มาจาก “ใจ”

  41. watt Says:

    ความจริงใจ
    บางครั้งมันก็บอกยาก…บอกด้วยคำพูดมันไม่สามารถแทนได้ทั้งหมด…ขึ้นอยู่กับว่า แต่ละคนมีวิธีแสดงออกเป็นเช่นไร นำควมจริงใจให้คนข้างๆได้อย่างไร..วัติ

  42. Programmer Says:

    วิจารณ์ไม่ใช้ประจาน
    ตำหนิ อย่า อคติ
    อ่านหนังสือแตกไม่แตก ขึ้นอยู่กับมุมมองคน

    หนังสือทำให้คนคิดต่อ ….

  43. bulbul Says:

    อ่านแล้วสบายใจดีจัง

    ด้วยความจริงใจ.

  44. นิรนาม Says:

    ชอบจังอ่านแล้วเหมือนตัวเองเลย

  45. วิ่งผิดเลนส์ Says:

    ดีครับ

  46. ชีวิตผิดเลนส์ Says:

    โบราณว่าไว้

    “ยาดีกินขมปากแต่เป็นประโยชน์ต่อคนไข้

    คนซื่อพูดคำไม่หวานหูแต่เป็นประโยชน์ต่อกาลภายหน้า”

    ผม ชอบบล็อคนี้มากครับ..โดยเฉพาะข้อคิดของคุณสิบ
    ผมต้องหาหนังสือเนปาลประมาณสะดือมาอ่านบ้างแล๊ว
    ผมคือคนนึง ที่ ทำงานในสถานที่ๆเรียกว่าแทบไม่มีความจริงใจ
    ให้กันมากที่สุดในโลก นั่นคือ “บาร์โฮส” ครับ
    พวกคุณๆ อาจจะรังเกียจ หรือประณาม อาชีพของผม
    บอกตรงๆ ว่าผมก็รู้สึกรังเกียจมันมากเหมือนกันครับ
    มันคือการทำงานอยู่กับการเสแสร้ง ยกยอ ประจบสอพลอ
    ซื่งห่างไกลคำว่า “จริงใจ” มากมายนัก. .
    เมื่อก่อนผมก็ ไม่ได้ทำงานนี้ครับ ผมเป็นDJ เปิดเพลงผับครับ
    เพราะการพลิกผันทางเศรษฐกิจ ทำให้ผับที่ผมทำงานอยู่ได้ปิดลง
    ความที่ครอบครัวผมฐานะไม่ดี และ ไม่มีการศึกษาทำให้พ่อแม่ผม
    เห็นว่า การศึกษาเป็นสิ่งสิ้นเปลือง ควรเอาเวลาไปทำมาหากิน
    ทำให้ผมเรียนจบแค่มัธยมต้น ก้อต้องออกไปขายพวงมาลัยสี่แยกแล้ว
    ขอไม่พิมสิ่งที่ผมทำต่อจากนั้นจนมาเป็นDJและจบที่บาร์โฮสนะครับ
    เข้าเรื่องเลยนะครับ . .
    ถึงสถานที่ๆผมทำงานจะต้องเสแสร้งในการทำงาน
    แต่ผมก็มักจะใส่ความ”จริงใจ”ลงไปในการทำงานของผมอยู่บ่อยๆ
    เพื่อนในบาร์ต่างก็มองว่า “ผมทำงานโง่”
    ผมมักจะไม่ใส่ใจคำพูดของพวกเขาครับ
    พวกเขาบางคนได้ “คอนโด” และ “รถป้ายแดง”
    จากการเสแสร้ง ที่แสนจะเนียบเนียน
    ซึ่งบางคนถึงขั้นต้อง เรียกว่า “พรสวรรค์”
    ผมกลับคิดว่าสิ่งที่พวกเขาทำมันเป็นสิ่งที่บาปกรรมมากครับ
    การทำงานของผมคือผมจะบอกลูกค้าเลยว่า “ผมมีแฟนแล๊ว”
    ถ้าเขาถามนะครับ 5 5 5
    ผมคิดเสมอว่าผู้หญิงที่มาเที่ยวสถานที่แบบนี้คือ “ผู้ป่วย” ครับ
    ผมจะพยายามทำให้เค้ามีความสุข และสนุก ในสถานที่ๆผมทำงาน
    ทำให้เค้าลืม ปัญหาทุกอย่างในชีวิตของเขา ในคืนๆนั้นครับ
    ผมถือว่าสิ่งเหล่านั้นที่ผมทำ มันก็เป็นความสุขของผมอย่างนึงครับ ^^
    ถึงเวลาร้านเลิกแยกย้าย ผม ก็ขอตัวกลับบ้านครับ
    บางทีลูกค้าก็จะชวนไปร้องคาราโอเกะต่อผมก็จะบอกเค้าไปว่า
    ผมต้องกลับก่อนครับแฟนผมรอกินข้าวอยู่ – -‘
    ซึ่งบางคนก็อาจจบกันตรงนั้นโดยไม่กลับมาหาผมอีก
    หรือไม่ ก็ กลับมาเที่ยวโดยเปลี่ยนพนักงานใหม่ไปเลย 555(กรรม)
    แฟนผมเป็นนักร้องค่าเฟ่ครับ ผมกับแฟนคบกันมา14ปี ครับ
    เค้าเป็นคนเก่งในการทำงานด้านนี้มาก โดยที่ไม่ใช้”ตัว”เข้าแลก
    ในแบบที่หลายๆคนคิดในสายอาชีพแบบนี้ อายุเราไม่ต่างกันครับ
    34 ปี (แก่ทั้งคู่) 555
    มันก็น่าแปลก ที่ คนที่มี “พรสวรรค์ทางด้านการเสแสร้ง”
    อย่างเค้าจะมาชอบผม และคบกันมานานขนาดนี้ T-T
    รายได้ทีร่ผมหามาได้นั้นบอกตรงๆเลยครับว่าไม่ถึง”ครึ่งของครึ่ง”
    ของแฟนผมเลยครับ – -‘ บางทีผมก็บอกเค้าว่าขอโทษน๊ะ
    เดือนนี้มันได้แค่นี้เอง เค้าก็ดีมากครับ บอกว่าไม่เป็นไร เค้าหาได้
    ไม่ต้องคิดมากนะ T O T เค้าบอกว่า คนที่เป็นอย่างนี้(โง่)ให้ทำ
    ยังไงก็ แก้ไม่สามารถแก้ไข หรือฝึกผนมันได้(การเสแสร้ง)อะครับ
    ผมดีใจมากที่เค้าเข้าใจ ถึง แม้ไอพวกเพื่อนที่ร้านมันจะชอบว่าผม
    ปาก(หมา)พูดไม่คิด หรือ ชอบไปเตือนชาวบ้าน(เจือก)ก็ยังมีคน
    1 คน ที่เห็นและเข้าใจในสิ่งที่ผมทำ . .แค่นี้ผมก็พอใจแล๊วครับ
    แต่แล้วมันก็มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น จนได้ครับ . .
    เมื่อตอนสงกรานต์ แฟนผม ได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆเค้า
    (ผมไม่ไปด้วยเพราะเข้าใจพวกสาว ๆ เวลาอยากไปเที่ยวกันเอง)
    ช่วงขากลับได้เกิดอุบัติเหตุขึ้นครับ. .
    คนขับหลับใน เพราะขับรถหามรุ่งหามค่ำ+กับทำเวลาหาเงิน
    รถได้แหกโค้งพุ่งชนต้นไม้ ส่งผลให้แฟนผมข้อเท้าหักทั้งสองข้าง
    กระดูกหลังยุบ และ ร้าว ส่งผลให้ ต้องพักรักษาตัวอีกเป็นเวลนานมาก
    . . . .
    ที่ผ่านมา แฟนผม เป็นฝ่ายหาเงินรับผิดชอบครอบครัวมาโดยตลอด
    เค้าบอกว่า “เค้าเข้าใจความจริงใจในสิ่งที่ผมทำ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง สิ่งที่ผมทำ มันอยู่ในสังคมนี้ไม่ได้”
    ผมบอกตัวเองเสมอครับว่า
    “ด้วย..ความดีและความจริงใจในการทำงานของผมสักวันมันคงจะส่งผลให้ผมประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานนี้”
    8 ปีในการทำงานของผม ทำให้ผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่าสิ่งที่ผมบอกตัวเอง
    มันเริ่มห่างไกลออกไป.. ด้วยเงื่อนไขของความเป็นจริงในสังคม
    ผมเคยคิดว่า ในจุดที่ดำมืดที่สุดในสังคม มันน่าจะมีที่ให้จุดสีขาวเล็กๆอยู่บ้าง ในความเลวร้ายของสังคม มันน่าจะมีความ “จริงใจ”
    เพียงสักนิด ก็ ยังดีกว่าไม่มีมันอยู่เลย. . .

    – – ไว้จะมาต่อนะครับว่าผมจะทำไงต่อไป – –
    (ยังไงขอโทษเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับคุณสิบ)
    ถ้าไม่ชอบที่ผมโพสยังไงบอกเลยนะครับลบทิ้งได้เลยนะครับ
    ผมจะได้ไม่มาโพสต่อครับ ขอประทานโทษจริงๆ ครับ


  47. ความจริงใจ…หาไม่ค่อยได้แล้ว…


  48. ขออนุญาตคัดไปเผยแพร่นะครับ ชอบครับ.


ส่งความเห็นที่ 10เดซิเบล ยกเลิกการตอบ