วันนี้นั่งเปิดดูรูปถ่ายและคลิปฉาว เอ้ย! คลิปฮาๆ ที่ถ่ายกันกับเพื่อนเมื่อครั้งไปเที่ยวที่นิวยอร์ก ดูแล้วก็นั่งขำอยู่คนเดียว เวลาไปไหนมาไหนกับคนที่สนิทกันนี่มันสนุกสุดๆ จริงๆ ดูแล้วก็คิดถึงเพื่อน และคิดถึงบรรยากาศเวลาที่อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา ขาดใครไปคนหนึ่งก็เหมือนขาดรสชาติไป เหมือนต้มยำกุ้งไม่ได้ใส่ตะไคร้ใบมะกรูด (ว่าแต่ปกติเขาใส่กันรึเปล่าหว่า?) ที่คิดถึงพวกมันทั้งหลาย ไม่ใช่ว่าเพราะตัวเองอยู่ไกลบ้านไกลเมือง แต่เพราะพวกมันก็อยู่ไกลบ้านไกลช่องไกลมือไกลเท้าเราเหลือเกิน อยากเตะก้นมันซักป้าบก็ยื่นขาไปไม่ถึง
ออกจะคิดว่า ในยุคสมัยที่โลกใบเล็กลง และคนเดินทางไปร่ำเรียนและทำการทำงานในต่างแดนมากขึ้น ความสัมพันธ์แบบลึกซึ้งหรือที่เรียกกันว่าเพื่อนซี้จะมีเวลาสั้นลง เพื่อนสมัยมัธยม, มหาวิทยาลัย ที่เราอยู่ด้วยแล้วบ้าคลั่ง เป็นตัวของตัวเอง ทำอะไรโง่ๆ ต่อหน้ามันได้ เผลอแป๊บเดียวพวกมันก็หนีไปโน่นนี่กระจายตัวไปหมดแล้ว หันกลับมาอีกทีก็มีแต่ความว่างเปล่ากับเพื่อนหน้าใหม่ที่ยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะจึงจะรู้จักกันเท่าพวกมัน
เทคโนโลยีต่างๆ เปิดโอกาสให้เรามีเพื่อนได้ง่ายขึ้น งานปาร์ตี้สังสรรค์เปิดโอกาสให้รู้จักคนใหม่ๆ ได้มากขึ้น การเดินทางไปเรียนและทำงานต่างแดนทำให้โลกขยายตัวและได้เจอเพื่อนดีๆ อีกหลายชาติหลายประเทศ แต่ก็นั่นแหละ ขณะเดียวกันก็หดความสัมพันธ์ยาวๆ ให้สั้นลง เราห่างกันเร็วขึ้น และบางที สำหรับบางคนก็มีเรื่องจำเป็นให้ต้องห่างกันเนิ่นนาน บางคนก็ต้องห่างกันตลอดไป ได้ยินแค่ข่าวคราวจากอีเมล ทักกันในเอ็มเอสเอ็น แต่ไม่ได้มาเต้นแร้งเต้นกาเอาก้นบั๊มพ์กันอีก
เพื่อนห้าคนที่ไปเที่ยวด้วยกัน หนึ่งในนั้นยังอยู่นิวยอร์ก อีกหนึ่งอยู่ชิคาโก อีกหนึ่งอยู่ซานฟรานฯ อีกหนึ่งอยู่กรุงเทพฯ เราเองก็ลี้มาเสียที่นี่ บอกพวกมันทุกครั้งว่ากลับบ้านเถิด ไปนั่งคุยกัน สนุกกันอีก บางทีพูดไปก็เหมือนคนโหยอดีต โหยบรรยากาศแห่งความสุข แหม ก็แค่คิดถึงน่ะ
เดินทางมาต่างบ้าน ได้เห็นผู้คนมากมายข้ามน้ำข้ามทะเลมาทำการทำงานไกลบ้าน ไกลเพื่อน ไกลคนรัก เพื่อโอกาสที่ดีกว่า เพื่องานที่สนุกกว่า ยิ่งวันเราก็ยิ่งเดินทางออกจากบ้าน ออกห่างเพื่อนกันเยอะขึ้น วันหนึ่ง โลกอาจจะไม่มีบ้าน คนเราสามารถโยกย้ายไปได้ทุกที่ ตลอดชีวิต แต่เราคงยกขบวนเพื่อนฝูงหรือคนรู้จักไปด้วยไม่ได้ และเราก็จะเริ่มต้นรู้จักคนหน้าใหม่ และรับเขาเข้ามาเป็นเพื่อนอยู่เนืองๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องดีจะตายไป ได้รู้จักคนอีกมาก ได้ทำความเข้าใจคนต่างชาติต่างภาษา แต่คิดแล้วก็เสียดายอยู่เหมือนกัน เสียดายความสัมพันธ์แบบใกล้ชิดสนิทสนมแบบยาวนานของเพื่อนๆ สมัยเด็ก และสมัยมหาวิทยาลัย
เพื่อนทั้งสามคนที่อยู่ที่อเมริกายังมีความสุขดีกับชีวิตที่นู่น หนึ่งในนั้นถึงกับประกาศออกมาแล้วว่าอาจจะใช้ชีวิตที่นั่นกับแฟนหนุ่ม ยุคหนึ่ง คนเดินทางขึ้นรถไฟไปทำงานที่กรุงเทพฯ จากบ้านช่อง จากเพื่อนพ้อง จากคนรัก จนคลอดออกมาเป็นเพลงลูกทุ่งนับร้อยๆ เพลงในเนื้อหาใกล้เคียงกัน ยุคนี้ คนออกจากบ้านไกลขึ้น เพื่ออนาคตที่ไกลขึ้น? เรารู้จักคนมากขึ้น แต่เราอาจจะรู้จักเพื่อนแต่ละคนน้อยลง
ก็แค่บันทึกไว้ ในวันที่เปิดรูปพวกเราออกมาดู แล้วนั่งขำอยู่คนเดียว
สิงหาคม 14, 2007 ที่ 11:12 pm
เพิ่งแยกจากเพื่อนมาเมื่อกี้
พามันไปกินข้าว หลังจากที่มันนั่งรถมาจากลำปาง
เพื่อแค่มากินข้าวด้วยกันที่เชียงใหม่
แล้วต้องกลับลำปางพรุ่งนี้เช้าเพื่อไปต่อรถกลับกรุงเทพอีกที
ช่วงเวลาแห่งความสุขช่างสั้นนัก เผลอแปปเดียวก็ต้องจากกัน
ไปตามชีวิตของแต่ละคน
ว่าแต่ กว่ามันจะกลับก็ตั้งพรุ่งนี้
คืนนี้ยังมี ให้ต่อเวลาได้อีกนิด
คิดได้ก็
หอบผ้าไปนอนหอเพื่อนดีกว่า
นอนเบียดมันให้อุ่นไปเลย
ไปละ ขอตัว
สิงหาคม 14, 2007 ที่ 11:22 pm
แหม ตรงใจตอนนี้เลยค่ะ
เพราะว่าเพิ่งตระเวนไปงานเลี้ยงส่งเพื่อนสมัยมัธยมกันมา
คนหนึ่งไปญี่ปุ่น (ฮือๆ)
เพื่อนสนิทอีกคนที่มหา’ลัย ก็จะไปอเมริกา (ฮือๆ)
เพื่อนสมัยมัธยมเป็นอะไรที่ผูกพันกันมากเหมือนกัน
เพราะยังไงก็เหมือนโตๆมาด้วยกัน ผ่านวัยหัวเลี้ยวหัวต่อมาด้วยกัน
พอไปงานเลี้ยงอำลาแบบเนี้ยก็อดนับไม่ได้ว่า มีใครหายไปบ้าง
เพราะก่อนหน้านี้ก็ไปเรียนต่อกันหลายคน
คนที่เหลือๆก็เลยนั่งคุยกัยเรื่องวันเก่าๆ
แต่ก็อดใจหายไม่ได้เลยค่ะ
สิงหาคม 15, 2007 ที่ 12:03 am
ผมไม่ชอบคำว่า “กระจัดกระจาย” เอาซะเลย
ลองออกเสียงดูสิครับ
แต่นับวันคนในชีวิตเราก็ต่างมีที่ทางที่ต้องไป
ที่เขาว่ากันว่าโลกกว้างเท่ากับจำนวนคนที่เรารู้จัก ท่าจะจริงแฮะ
สิงหาคม 15, 2007 ที่ 12:38 am
ช่วงเวลาที่นั่งดูรูปเก่าๆ … ผมก็มีเวลาช่วงแบบนี้เหมือนกันนะ …
สิงหาคม 15, 2007 ที่ 1:02 am
ตอนนี้ไม่มีใครชวนไปกินส้มตำอีกแล้ว ตั้งแต่เพื่อนสาวชาวอีสานบ้านเฮาย้ายไปอยู่อเมริกา (ป่านนี้คงตัวซีดผอมโซเพราะอดปลาร้า)
เพื่อนสาวชาวเกย์ก็ย้ายไปอเมริกาอีกคน เราก็คงไม่ได้ไปสีลมซอย 2 อีกแล้ว (แล้วอย่ามาบ่นเสียดายแล้วกันที่ไม่ได้อยู่เรียกร้องสิทธิเพศที่สามในร่างรัฐธรรมนูญ)
เพื่อน ๆ ของเราแต่ละคนก็จะต่างกัน ใส่รองเท้าก็ใส่คนละเบอร์ แล้วรองเท้าของพวกมันแต่ละคนก็จะพาเจ้าของไปในที่ของพวกมัน (พวกมันถึงกับใช้ศัพท์หรูหรา i will find a place i belong…) คิดถึงพวกแกนะ
สิงหาคม 15, 2007 ที่ 7:49 am
แอด..
ฮื่อ..
กริ๊ก.
สิงหาคม 15, 2007 ที่ 9:39 am
ความทรงจำมันเป็นเรื่องที่หอมหวานเนอะครับ
สิงหาคม 15, 2007 ที่ 10:25 am
.
.
ยิ่งเติบโต…
เรารู้จักคนมากขึ้น
แต่กลับมีเพื่อนน้อยลง…
.
.
สิงหาคม 15, 2007 ที่ 11:05 am
ยิ่งเติบโต…
เรารู้จักคนมากขึ้น
แต่กลับมีเพื่อนน้อยลง…
ชอบประโยคนี้จัง…..
สิงหาคม 15, 2007 ที่ 11:07 am
เพื่อนแท้เป็นยังไงหนอ
สิงหาคม 15, 2007 ที่ 11:35 am
เพื่อนบางคนเกิดที่เชียงใหม่ แต่ไปทำงานที่ กทม กันหมด คนกทม ก็ย้ายมาอยู่เชียงใหม่ เราแค่ย้ายโต๊ะตอนเปลี่ยนห้อง
สิงหาคม 15, 2007 ที่ 11:45 am
เวลา เปลี่ยน
ความสัมพันธ์ เปลี่ยน
สิงหาคม 15, 2007 ที่ 12:18 pm
วันหยุดยาว3วันที่ผ่านมานอกจากจะเป็นวันสำคัญของแม่กับลูกแล้ว
เชื่อว่าหลายคนเป็นเหมือนผม
คือรอเจอเพื่อนที่แยกย้ายกันไปตามแต่หน้าที่การงานของตัวเอง
เพราะหยุดยาวอย่างนี้พวกมันมักจะกลับ”บ้าน”
กับคนที่ได้กลับมาทำงานแบบประจำการอยู่ใน”ภูมิลำเนา”
ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยนิดในหมู่เพื่อนพ้องที่มักจะทำงานอยู่ในเมืองหลวง
การกลับมาในคราวแรกก็เกิดความรู้สึกแปลกไป ไม่คุ้นเคยกับทั้งสถานที่และผู้คน
…ทั้งๆที่เป็น”ที่ที่เคยอยู่”
เพราะการที่จากบ้านไปร่ำเรียนนานหลายปี กลับมาบ้างบางโอกาส
ทำให้ไม่ค่อยได้รู้สึกแบบนี้เท่าไหร่
ด้วยเหตุนี้ผมจึงมักรอคอยวันหยุดยาว(ทั้งที่ไม่ได้หยุดอะไรกับใครเขา เพราะเปิดกิจการของตัวเอง)
ได้เจอกับเพื่อนๆแล้ว แม้จะเป็นแค่เวลาสั้นๆ
เพราะยังไงแต่ละคนก็ต้องให้ความสำคัญกับครอบครัวของแต่ละคนมากกว่าอยู่แล้ว
แต่การได้พบปะ กินข้าว ถามไถ่สารทุกข์ สุกดิบกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง
ก็เป็นการเติมเต็มขีดแสดงพลังกำลังใจของคนที่โหยหามิตรภาพเก่าๆอย่างผมแล้วล่ะ
เพื่อนกลับกันไปหมดแล้ว
แต่ความรู้สึกดีๆยังอยู่เต็มไปหมด…เจอกันใหม่วันหยุดครั้งหน้านะเพื่อน :]
สิงหาคม 15, 2007 ที่ 1:18 pm
แหม คุณหมูตุ้ยเล่าได้บรรยากาศดีจังครับ
เป็นบรรยากาศที่ดีซะด้วย อ่านแล้วก็คิดถึงเพื่อนๆ
อยากให้พวกมันกลับมาบ้าง (และผมก็ต้องกลับไปเช่นกัน หุหุ)
บันทึกสั้นๆ แต่มีคนรู้สึกคล้ายกันเยอะเหมือนกันแฮะ
คิดถึงเพื่อนๆ : )
สิงหาคม 15, 2007 ที่ 1:54 pm
โลกนี้อยู่ยากขึ้นนะ
คงต้องยอมรับแหละ
สิงหาคม 15, 2007 ที่ 2:42 pm
คิดถึงเพื่อนจริงๆด้วย ยิ่งโต อะไรๆก็ยิ่งยากขึ้น
แม้แต่เวลาจะเจอหน้ากันก็ยังน้อยลง
ต่างคนก็ต้องเดินทางกันต่อไป
แต่เมื่อได้กลับมาเจอกันสักครั้ง…ก็เป็นช่วงเวลาที่มีค่าจริงๆ
สิงหาคม 15, 2007 ที่ 3:01 pm
เค้าว่ากันว่า คนที่ชอบนึกถึงอดีต มักอายุมากเพราะมีเรื่องราวมากมายผ่านเข้ามา
แต่ฝนว่า..มัน โรแมนติกดีจัง เหมือนภาพถ่ายสีเทา ที่ยิ่งเก่าก็ยิ่งมีค่า เนอะๆ
สิงหาคม 15, 2007 ที่ 3:37 pm
เพิ่งได้หนังสือรุ่นมาดู ดูแล้วอยากกลับอยู่ตอนมัธยมอีกครั้ง บรรยากาศแบบนั้นมันหาไม่ได้จิงๆตอนที่อยู่ที่มหาลัย แต่จะว่าไปการที่เราต้องจากกันก็ทำให้เรานึกถึงกันและอยากเจอกันมากขึ้นจิงมั้ยค่ะ ถ้าอยู่ด้วยกันคงคิดถึงกันไม่ได้มากขนาดนี้
สิงหาคม 15, 2007 ที่ 5:10 pm
สวัสดี ศาลาวุด เราหลงเข้ามาได้ไงไม่รู้ รู้ตัวก้มานั่งอ่านแล้วอ่ะ : ) ดีใจเป่า
เพื่อนเยอะขนาดนี้ ยังไงก้ไม่หงงาววววว เราอ่านเนปาล กะฮ่องกง จบแล้วนะ เอาไว้คุยกันว่ารู้สึกไง อิอิ ดีใจที่ได้อ่านนะเนี่ย
ไปละ แวะมาทัก
สวัสดีค่ะ
สิงหาคม 15, 2007 ที่ 5:18 pm
คิดถึงแกหว่ะ……ถึงเพื่อนทุกคน
สิงหาคม 15, 2007 ที่ 5:43 pm
ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างมีฝัน ต่างคนต่างมีเส้นทางเดินเพื่อไปให้ถึงฝันของตัวเอง
คิดถึงเพื่อนๆ ป.ตรี ป.โท เพื่อนที่ทำงานเก่าด้วย คิดถึงเพื่อนเก่าๆทุกคนเลย 🙂
สิงหาคม 15, 2007 ที่ 6:43 pm
การแยกจากกัน บางทีก็เป็นเรื่องจำเป็นนะคับ นึกถึงตอนที่เรา(จำใจ)ต้องออกจากบ้าน ไกลจากอกแม่ … ออกไปเพื่อสร้างครอบครัวของตัวเอง แม้ว่าไม่อยาก และ ไม่ได้หมายว่า ไม่รักแม่
แต่ การแยกจากกัน บางทีก็เป็นเรื่องจำเป็น
: )
สิงหาคม 15, 2007 ที่ 6:48 pm
อ่านแล้ว…บอกได้ว่า
“คิดถึงเพื่อนจัง”
สิงหาคม 15, 2007 ที่ 10:58 pm
หัวข้อนี้มีเพื่อนเข้ามาคุยเยอะดีแฮะ
สวัสดีปุ๊ยด้วย : )
สิงหาคม 15, 2007 ที่ 11:06 pm
^__^
สิงหาคม 16, 2007 ที่ 12:01 am
จริงๆ นะ
ความห่างไกล ทำให้เราต้องออกแรงมากขึ้น
เพื่อจะยึดเหนี่ยวอะไรหลายๆ อย่าง
แต่มันก็ทำให้รู้นะว่า ความสัมพันธ์ที่แท้จริงเป็นยังไง
และคุณค่าของมันอยู่ตรงไหน
แต่คงไม่ใช่เทคโนโลยีหรอก
ความทะเยอทะยาน และจิตวิญญาณที่โบยบินไปไกลกว่าบรรพบุรุษต่างหาก
ที่แยกเราจากเพื่อนคนเดิม และตัวเราคนเดิมด้วย
สิงหาคม 16, 2007 ที่ 10:41 am
ซาบซึ้ง
น้ำตาซึม
ซาบซ่าห์
โอ๊ย…
คิดถึงเพื่อน
สิงหาคม 16, 2007 ที่ 2:33 pm
:: โอ๊ยๆๆๆ ซึ้งๆๆๆๆ ครับ
::
:: คิดถึงเพื่อนจัง
::
::อยากกลบไปเฮฮากับเพื่อนๆ ตอนมัธยมอีก
::
:: พอเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เหมือนความมันส์ในความสนุกมันลดลงไงก็ไม่รู้
สิงหาคม 16, 2007 ที่ 4:06 pm
คิดถึงเพื่อนมหาวิทยาลัย
คิดถึงเพื่อนมัธยม
คิดถึงเพื่อนประถม
คิดถึงเพื่อนอนุบาล
ป.ล.พี่เอ๋เหมือนคนแก่นั่งนึกถึงอดีต
ป๊าดดด
สิงหาคม 16, 2007 ที่ 9:59 pm
วันนี้ไปทำงานวันแรก
คิดถึงเพื่อนที่บริษัทเก่ามาก ๆ จนใจหวิวไปหมด
โทรหาน้องที่เคยนั่งทำงานข้างกัน บอกมันว่าพี่คิดถึงเอ็งมากนะ
ตอนที่อยู่ด้วยกัน เวลามันพูดมากก็ดันไปรำคาญมัน
แต่ตอนนี้ได้รู้ว่า ปริมณฑลของความผูกพันนี่มันดีจริงๆ
การได้เจอคนที่มีอะไรคล้าย ๆกัน ได้ผูกพันกันเป็นเรื่องดีจริงๆ
สิงหาคม 16, 2007 ที่ 11:20 pm
นึกถึงเพื่อนคนหนึ่งขึ้นมา ตั้งแต่เรียนจบแทบไม่ได้เจอ
แต่ทุกครั้งที่กลับไปหา………
ไม่เคยรู้สึกเลยว่าระยะทางหรือเวลาทำให้ความสัมพันธ์เราลดลง
ปล. รักแกว่ะ ^^!
สิงหาคม 17, 2007 ที่ 12:09 am
คิดเถิงเพื่อนสมัยเรียนมัธยมจัง!!!!!!!!
อยากกับไป รร
เคยคิดด้วยว่า รร เรา น่าจามีเปนมหาลัยด้วยเลย
จะได้ม่ะต้องแยกการเรียนคนละที่”แบบนี้”
คงแปลกดีถ้าจามี มหาลัยชื่อ มหาลัยสตรีวัดระฆังเนอะ ฮ่าๆๆ
สิงหาคม 17, 2007 ที่ 2:18 am
กินของขม นั่งชมสาว เล่าความหลัง ฟังเพลงป๊อด{โมเดิร์นด๊อก}
สิงหาคม 17, 2007 ที่ 10:40 am
หัวข้อนี้ที่มีข้อความฝากไว้มากคงเพราะมีอารมณ์ร่วมกับเหตุการณ์แบบนี้
บ้างถึงบ่อยๆ อย่างเอเนี่ยเพราะรู้สึกแบบที่พี่เอ๋ว่าบ่อยๆ แล้วก็ชอบนั่งดูรูป
เก่าๆ พูดเรื่องสมัยเรียนบ่อยๆจนเพื่อนเรียก “ป้า” ไปเลย ความจริงมันก็รู้สึกดี
นะคะการโหยหาอดีตในบางเวลา เพียงแต่ต้องบอกตัวเองว่าอย่ายึดติดมากนัก
ต้องมองไปข้างหน้าด้วย เพื่อนเก่าต้องเก็บไว้แต่ก็ต้องเปิดโอกาสทำความรู้จัก
เพื่อนใหม่ๆที่จะเข้ามาด้วย นี่ยังดีนะคะที่เพื่อนสนิทยังไม่มีใครแต่งงาน
ถ้าแต่งงานกันไปแล้วคงจะได้ห่างหายไปจากชีวิตของกันและกันมากขึ้นไปอีกมาก
โขเลยล่ะค่ะ
อืม…ยังไงซะความเป็นเพื่อน(ที่ดี) คงไม่ได้วัดกันด้วยความถี่ของการเจอกัน
แต่น่าจะวัดกันที่คุณภาพและความสุขที่มีเวลาได้พบหน้ากันมากกว่า เคยมั๊ยคะที่กับบางคนเจอกันบ่อยแค่ไหนก็ยังรู้สึกว่ามันมีช่องว่างอยู่ แต่กับเพื่อนบางคนไม่ได้ติดต่อกันเลยเป็นปีๆ มาเจอกันอีกทีกลับคุยกันได้ลื่นเหมือนเพิ่งพบกันไปไม่นาน
ยังคงทำอะไรบ้าๆด้วยกันได้เหมือนก่อนอย่างไม่ขัดเขิน และกับเพื่อนแบบนี้ล่ะค่ะที่เอจะเรียกได้เต็มปากว่า “เพื่อนแท้”
สิงหาคม 17, 2007 ที่ 11:25 am
“ยังไงซะความเป็นเพื่อน(ที่ดี) คงไม่ได้วัดกันด้วยความถี่ของการเจอกัน
แต่น่าจะวัดกันที่คุณภาพและความสุขที่มีเวลาได้พบหน้ากันมากกว่า ”
ชอบประโยคนี้ของคุณ เอ จังค่ะ พูดได้ตรงใจมากๆ ชอบ ชอบ
โดยส่วนตัวแล้วก็ไม่ใช่คนที่จะโทรคุยกะเพื่อนบ่อยนัก และเนื่องด้วยแต่ละคนก็งานเยอะกันทั้งนั้น นานๆถึงจะได้เจอกันที แต่พอเจอกันก็ยังต่อกันติด ยังคุยกัน แกล้งกันได้โดยไม่เคอะเขิน
ว่าแล้วก็นึกถึงพวกมันขึ้นมา ….นัดเพื่อนเก่ากินข้าวดีกว่า อิอิ
สิงหาคม 17, 2007 ที่ 1:15 pm
ผมก้อเพิ่งเขียนเรื่องราวคล้ายๆ แบบนี้ในบล็อคเหมือนกันนะ แต่แค่คนละมุมมอง แค่นั้นเอง
…..
สังเกตได้ว่าช่วงนี้คนส่วนใหญ่จะอยู่ในห้วงอารมณ์ใกล้ๆ กันแบบนี้เยอะมาก
จะเพราะความเหงา ที่เคลือบแฝงคนเราตลอดเวลา หรือ เพราะความสับสนของสังคม
…
ไม่รู้คนอื่นอ่านแล้วรู้สึกไง แต่ด้วยห้วงอารมณ์และเรื่องราวที่ผมกำลังจะตัดสินใจทำในไม่ช้านี้ ทำให้ผมนึกถึง รถไฟขบวนนั้นอีกแว้ว
….
เพราะตอนนี้มีรถไฟผ่านหน้ามาอีกขบวนแล้วครับ
สิงหาคม 17, 2007 ที่ 5:27 pm
อ่านแล้วนึกถึงตอนทีไปเขาใหญ่กับเพื่อนม.ต้นเลย
ตอนเดินขึ้นเขาใหญ่10กิโล ทำให้เรารู้เลยว่า มิตรภาพมันคืออะไร
สิงหาคม 17, 2007 ที่ 10:08 pm
ใช่!เรารู้จักคนมากขึ้น แต่รู้จักเพื่อนแต่ละคนน้อยลง เพราะแต่ละคนพอสนิทกันแล้ว หลายคนก็แยกกันไปมีวิถีชีวิตของตัวเอง อาจจะมีคนสำคัญเข้ามาในชีวิต จนบางทีคนที่เคยรู้จักอาจจะสำคัญน้อยลงไป ว่าแล้วก็ คิดถึงเพื่อน ๆ นะเนี่ย
แต่พูดถึงเพื่อน ๆ สมัยเรียนมหาลัยก็ไม่รู้ว่าอยากจะด่าหรือเข้าใจพวกมันดี ถึงจะเรียนจบแยกย้ายกันไป แต่เพื่อนทุกคนก็ไม่ได้จากไปไหนไกลไม่มีใครออกนอกชายแดนกรุงเทพ และนอกประเทศ แต่ที่พวกมันนอกใจเราเพราะทุกคนดันมีแฟนหมดแล้วอ่ะดิ แล้วทุกคนดันติดแฟนซะจนค่อยไม่สนใจกันเท่าไหร่เหมือนต่างคนต่างไป แถมแต่ละคนยังอีกบอกว่าได้คุยกับเราบ่อยสุด ทั้ง ๆ ที่นาน ๆคุยกันที แล้วยังดันบอกกันอีกว่าไม่ได้คุยกับคนอื่นในกลุ่มเลยที่นอกจากเรา อะไรกันเนี่ย!!! เวลาพวกมันโทรมาเราเรียนอยู่ไม่ว่างรับ แต่เราโทรกลับมันไม่ว่างเพราะคุยกับแฟน โชคดีที่มีเพื่อนหลายกลุ่มเลยไม่ค่อยอะไรเท่าไหร่ แต่บางทีก็นึกใจน้อยใจพวกมันเหมือนกัน (.T_T.)
ป.ล.คุณนิ้วทำหน้าที่สมกับที่ได้รับตำแหน่งแกนนำ ส.ว.(สูงวัย)ได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะชอบชวนเจาะเวลาหาอดีตนึกถึงเรื่องเก่า ๆอยู่เสมอ (.^_^.)
ป.ล.ที่ 2 ขอโทษด้วยที่แซวมุกนี้บ่อย แต่เห็นว่าพักนี้คุณนิ้วชอบชวนนั่งไทม์แมชชีนความทรงจำย้อยอดีตบ่อย แต่ก็ชอบนะสงสัยแก่เหมือนกันเพราะชอบนึกเรื่องเก่าๆ 555
สิงหาคม 17, 2007 ที่ 10:35 pm
เอ๋…
เข้าบ้านฯ+สวนฯ ได้รึยัง
หายไปไหนซะแล้ว
เพื่อนๆรออยู่เน้อ
อ้อ..คาราเมล
เราอยู่ก๊วน ส.ว. เหมือนกันเลยจ้ะ
ก๊วนที่จำนวนสมาชิกอาจไม่มาก
แต่คุณภาพคับแก้ว อิอิ
สิงหาคม 18, 2007 ที่ 11:41 am
เข้าได้แล้วคร้าบ!
: )
สิงหาคม 18, 2007 ที่ 11:45 am
เพื่อนไปเมกาเกือบปีแล้ว (แต่เรายังดักดานอยู่เนี่ย)
ไม่มีอะไรนอกจากคิดถึงมัน
เคยไปหอมัน…เคยไปนั่งกินเตี๋ยวที่บางลำพู
เคยนั่งเล่นอยู่ที่สวนสันติฯ
เคยไปเชียงใหม่ด้วยกัน
เคยทะเลาะกัน
เคยรักกันและยังรักมันอยู่
เคยไม่ชอบมันด้วย แต่สุดท้ายก็รักมัน
คิดถึงมันมากกกกก………
มันจะอยูต่ออีกปี
เฮ้อ ก็ขอให้มันโชคดี
คิดถึงแกนะอ้อม
สิงหาคม 19, 2007 ที่ 10:36 am
^^ มาช่วยเคาะเคาท์เตอร์ค่ะ….อิอิ
แอบอ่านมานานแล้ว แต่แว๊บๆมาๆไปๆ…
เรื่องราววันนี้ชอบจัง อ่านแล้วสบายๆคิดตามไปด้วยพยักหน้าหงึกๆ..
คำทักทายของเพื่อนๆก็อ่านเพลินดีค่ะ