Archive for the '02: หนัง' Category

Babel: ฉันไม่ได้เลว ฉันแค่ทำอะไรโง่ๆ ลงไป

กุมภาพันธ์ 13, 2007

เมื่อคืนซัดหนังไปสองเรื่องครับ
หนึ่งคือ วังดอกทอง สองคือ บาเบล
หนังดีทั้งสองเรื่อง ชอบทั้งสองเรื่องเลยครับ
หนึ่งนำเราเปิดประตูย้อนไปดูอารยธรรมอลังการของจีนยุคโบราณ
อีกหนึ่งนำเราไปดูเบื้องลึกเบื้องหลังของความป่วนปั่นไม่เข้าใจกัน
ระหว่างคนบนโลกในสภาพการณ์ปัจจุบันที่ผู้คนจงเกลียดจงชัง
และไม่ไว้ใจกันมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

บทภาพยนตร์ของ ‘บาเบล’ ชวนให้นึกถึงหนังออสการ์อย่าง ‘แครช’
ที่ฉายภาพความหวาดระแวงของคนในสังคมโลกาภิวัฒน์ออกมาให้เห็น
เพียงแค่ ‘บาเบล’ นำเสนอในสเกลที่กว้างขึ้น ในระดับโลก

ก่อนจะอ่านย่อหน้าถัดไป น่าจะไปซื้อตั๋วหนังเข้าไปนั่งดูเสียก่อน
หรือไม่ก็ต้องตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะไม่ไปดูหนังเรื่องนี้
เพราะถัดจากนี้จะเป็นการเล่าเรื่อง

ตอนจบพระเอกตาย!
หะล้อเล่นน่า

หากเล่าเรื่องเป็นเส้นเดียว (ไม่สลับซับซ้อนเหมือนหนังหลังตัดต่อ)
‘บาเบล’ คือเรื่องของ ชายญี่ปุ่นที่เดินทางไปล่าสัตว์ในประเทศโมร็อคโค
แล้วพึงพอใจในตัวพรานนำล่าอย่างมาก จึงทิ้งของฝากไว้ให้เป็นที่ระลึก
ของฝากนั้นคือปืนล่าสัตว์ (ไรเฟิลชื่อรุ่นยาวๆ) กระบอกหนึ่ง
พรานคนนั้นได้ปืนมาจึงนำไปขายให้กับเพื่อนบ้าน โดยไม่ลืมโฆษณาด้วยว่า
ปืนกระบอกนี้สามารถยิงได้ไกลตั้งสามกิโลเมตร
ฝ่ายเพื่อนบ้านคนนั้นก็ซื้อไปเพื่อเอาไว้ให้ลูกชายสองคนยิงหมาไน
ที่ชอบมาขโมยกินแพะในฝูงที่ครอบครัวของเขาเลี้ยงไว้ ลูกชายก็เอาปืนไปเล่น
และหัดยิงตามประสาเด็ก มีการทดลองว่าปืนกระบอกนี้จะยิงได้ไกล
อย่างที่คุณเซลส์แมนโฆษณาไว้จริงหรือเปล่า จึงลองขึ้นไปบนเขา
แล้วเล็งลงมาเล่นๆ ไปที่รถบัสที่กำลังแล่นอยู่บนถนนด้านล่าง
ปัง!

เซลส์แมนไม่ได้โม้! ลูกกระสุนนั้นพุ่งทะลุกระจกเข้าไปเจาะเข้าที่หัวไหล่
ของหญิงชาวอเมริกันคนหนึ่งที่กำลังนั่งหลับหัวพิงกระจกรถบัสอยู่
เป็นเรื่อง! อะไรเกิดขึ้นกับคนอเมริกันย่อมเป็นเรื่องใหญ่กว่าชนชาติอื่น
และจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก การก่อการร้าย!

อีกฝั่งหนึ่งของโลก ที่สหรัฐอเมริกา บ้านของหญิงสาวที่โดนยิง
ลูกน้อยสองคนถูกฝากไว้กับพี่เลี้ยงชาวเม็กซิกันที่กำลังจะต้องกลับไป
งานแต่งงานของญาติ แต่ก็ไม่สามารถไปได้ เพราะพ่อแม่ของเด็กยังไม่กลับ
ก็แน่ล่ะสิ แม่ของเด็กจะเป็นจะตายก็ยังไม่รู้ชะตา พ่อก็อยู่ด้วยกันที่
โมร็อคโค ได้แต่โทรมาบอกว่า สงสัยจะกลับไปไม่ทัน ฝากดูแลเด็กๆ ด้วย
พี่เลี้ยงชาวเม็กซิกันพยายามนำเด็กทั้งสองไปฝากเพื่อนพี่เลี้ยงข้างบ้าน
แต่ก็ถูกปฏิเสธ เมื่อหมดทางเลือก เธอจึงหอบหิ้วเด็กน้อยน่ารักน่าชัง
ชาวอเมริกันทั้งสองข้ามชายแดนไปร่วมงานแต่งงานด้วยที่เม็กซิโก
ตลอดเวลาเธอและหลานชายของเธอที่เป็นคนขับรถต่างดูแลเด็กๆ
เป็นอย่างดี เธอรักเด็กสองคนนี้มาก ด้วยเพราะดูแลมาตั้งแต่เกิด

ขากลับจากงานแต่งงาน หลานชายที่กำลังเมาขับรถมาถึง
ด่านเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา ตำรวจเรียกให้หยุดรถ ฉายไฟส่องหน้า
เมื่อเห็นว่ามีเด็กอเมริกันมาด้วยจึงสงสัยในตัวเม็กซิกันทั้งสอง
ตำรวจตรวจค้นอย่างเคร่งเครียดชวนอึดอัด จากคนไม่มีความผิด
ทั้งคู่เริ่มดูเหมือนคนผิดมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนคนผิดในสายตาตำรวจ
และเหตุการณ์เลวร้ายก็เกิดขึ้น เมื่อหลานชายตัดสินใจเหยียบคันเร่ง
พุ่งรถแหกด่านตรวจออกไป และนำตัวป้ากับเด็กๆ ไปทิ้งไว้กลางทุ่งทะเลทราย

รุ่งขึ้น ป้าพี่เลี้ยงพาเด็กๆ เดินหาหนทางที่จะมีคนช่วยนำกลับบ้าน
แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งไกล ยิ่งหลง ยิ่งเหนื่อย ยิ่งท้อ และยิ่งหมดหวัง
ระหว่างนั้นเด็กชายเอ่ยปากถามป้าพี่เลี้ยงว่า
“ทำไมเราต้องหนีด้วย เราไม่ได้ทำอะไรผิด”
“เราไม่ได้ทำผิด แต่คนอื่นนึกว่าเราทำผิด” ป้าตอบ
“คุณเป็นคนเลว” เด็กชายหวาดระแวง
“ฉันไม่ได้เป็นคนเลว ฉันแค่ทำอะไรโง่ๆ ลงไปเท่านั้นเอง” ป้าตอบทั้งน้ำตา

หลังจากเดินตากแดดกันมานาน เด็กหญิงทำท่าจะขาดน้ำ อาการน่าเป็นห่วง
ป้าจึงตัดสินใจทิ้งเด็กทั้งสองไว้ และเดินออกมายังถนนเพื่อหาคนช่วย
และเธอก็ถูกตำรวจจับ

จับ โดยไม่ฟังความข้างป้าใดๆ ทั้งสิ้น
ไม่ฟังสิ่งที่ป้าพยายามจะอธิบาย ไม่ฟังความจริงที่จะเล่า
ไม่ฟังเจตนาบริสุทธิ์ ไม่ฟังอะไรเลย และไม่คิดจะฟัง
ได้แต่ตัดสินใจสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเป็นแบบนั้น
ตัดสินโดยยึดมุมมองของตนเป็นหลัก

เหมือนตำรวจโมร็อคโคที่นึกล่วงหน้าไปก่อนเลยว่า
เจ้าของปืนกระบอกนั้นต้องเป็นผู้ก่อการร้าย
และไม่คิดจะฟังคำอธิบายจากพรานคนนั้น,
ชายผู้ซื้อปืนต่อมา และลูกชายทั้งสองของเขา
ตำรวจพากันกระหน่ำยิงเขาทั้งสามโดยไม่ถามอะไรซักคำ

ป้าโดนข้อหาร้ายแรงจากรัฐบาลอเมริกัน
ถูกเนรเทศกลับไปเม็กซิโกในทันที!
เธอร้องไห้แทบขาดใจ เธอมีบ้านอยู่ในอเมริกา
และอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว หากที่สำคัญคือ
ความผูกพันระหว่างเธอกับเด็กๆ ที่เลี้ยงกันมาตั้งแต่ยังเล็กยังน้อย

อีกมุมหนึ่งของโลก
มีเด็กสาวหูหนวก-เป็นใบ้ชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่ในมหานครแห่งความอึกทึก
แต่โลกใบนั้นของเธอกลับเงียบสนิท พูดกับใครไม่ได้ ฟังใครไม่ออก
เป็นชีวิตที่อึดอัดอย่างยิ่ง อึดอัดและเก็บกดจากความที่ไม่สามารถ
ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ทั่วไปได้เหมือนที่มนุษย์สื่อสารกัน
โลกที่ไม่มีการสนทนาแลกเปลี่ยนช่างโดดเดี่ยวและอ้างว้าง
และไม่มีทางที่สองฝ่ายจะรู้จักกัน เข้าใจกัน รับฟังกัน
และมากกว่านั้นคือ ให้อภัยกัน

เหมือนเธออยู่ในโลกคนเดียว มีเรื่องที่อยากเล่าอยากบอก
แต่ไม่มีใครพยายามรับฟังเธอ

เป็นคนชายขอบ เป็นชนกลุ่มน้อยในโลก
ไม่ต่างจากชาวโมร็อคโคเมื่อเทียบกับคนอเมริกันที่เป็นชนกลุ่มหลัก
ไม่ต่างจากชาวเม็กซิกัน ที่แม้จะมีเสียง แม้จะพูดได้
แต่ก็ไม่มีใครได้ยิน

โลกนี้อาจมีคน ‘เป็นใบ้’ มากกว่าที่เรารู้
โลกนี้อาจมีคน ‘เป็นใบ้’ แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะพูดได้
แต่จะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่มีใครฟังถ้อยคำอธิบายจากปากของพวกเขา

ถ้อยคำอธิบายที่มีเบื้องหลังมากกว่าที่เราคิด (เอาเอง)
ความผิดพลาดทั้งหลายของเพื่อนมนุษย์
เอาเข้าจริงแล้ว อาจไม่ได้เกิดขึ้นจากความเลวไปเสียทั้งหมด
แต่มันอาจเกิดขึ้นจากจากการกระทำโง่ๆ ที่ผู้กระทำก็ไม่ได้อยากทำ
การกระทำโง่ๆ ที่เมื่อเวลาผ่านแล้วจึงรู้ว่าไม่น่าทำ
และถ้าให้ย้อนกลับไปได้คงไม่มีใครทำอะไรโง่ๆ แบบนั้นอีก

เรื่องราวในหนังที่เล่ามาทั้งหมด มีใครเลวด้วยหรือ?
ชายชาวญี่ปุ่นคนนั้นจะรู้หรือว่า การที่เขายกปืนไรเฟิลกระบอกนั้น
ให้กับพรานชาวโมร็อคโคจะทำให้ป้าชาวเม็กซิโกต้องถูกเนรเทศ!

ปฏิกิริยาผีเสื้อกระพือปีก!

ไม่มีใคร (ในเรื่อง) ตั้งใจจะทำเลว — มีใครได้ยินบ้าง?

เด็กสาวใบ้ชาวญี่ปุ่นเป็นลูกสาวของชายเจ้าของปืน
ที่ไม่เคยพูดจากันแบบดีๆ และไม่เคยได้หันหน้า ‘ฟัง’ กันสักเท่าไหร่
แต่ในตอนจบ เหมือนทั้งคู่ได้สื่อสารอะไรกันบางอย่าง

อะไรบางอย่างที่นำมาซึ่งความเข้าใจ
อะไรบางอย่างที่นำมาซึ่งการให้อภัย

การกระทำโง่ๆ ทั้งหลายที่เกิดขึ้นจากความไม่ตั้งใจเหล่านั้น
ต้องการการให้อภัย
และการให้อภัยจะเกิดขึ้นได้
ก็ต่อเมื่อมนุษย์เงี่ยหูฟังกัน.

Final Score: สุดท้าย มันก็ผ่านไป

กุมภาพันธ์ 2, 2007

อีกวันที่รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอ
อ่อนแอกับโลกตรงหน้า
โลกที่ไม่มีเพื่อน
โลกใบนั้นเหงาและอ้างว้างเกินคาด
เป็นโลกเงียบๆ ใบหนึ่ง หลังจากเดินออกจากโรงหนัง
หลังจากหนังเรื่อง Final Score จบลง
และต้องเดินทางกลับบ้านโดยลำพัง

อยากขอบคุณทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหนังเรื่องนี้
ขอบคุณที่พากเพียรทำมันขึ้นมา
หากได้เจอ อยากจะเดินเข้าไปบอกว่า เราชอบมากๆ
มันติดอันดับหนังในดวงใจไปแล้ว หลังจากที่ไม่มีมาเป็นเวลาหลายปี

หนังของพวกคุณทำให้เราหัวเราะ และร้องไห้
ทำให้เรากลายเป็นเด็ก
เด็กที่อ่อนแอ
เด็กที่ขี้แย
เด็กที่สับสน
เหมือนเด็ก ม.หก นั่นแหละ

อ่อนแอ เมื่อรู้สึกว่าตอนได้เจอเพื่อนทุกวันเรามีความสุขมาก
ขี้แย เมื่อนึกถึงวันคืนเก่าๆ
และสับสน ว่าทุกวันนี้เรามีความสุขแค่ไหน?
และเราทำความสุขแบบนั้นหล่นหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่?

หนังของพวกคุณทำให้เราไม่อยากทำอะไรอีกเลย
ไม่อยากทำงาน ไม่อยากอ่านหนังสือ ไม่อยากรู้อะไรเพิ่มเติม
ไม่เห็นว่าสิ่งเหล่านั้นจะนำมาซึ่งความสุข – คิดแบบเด็กๆ

เราอยากกลับไปอยู่ตรงนั้น ริมทะเล นั่งคุยกับเพื่อนในแสงเทียน
มีเสียงคลื่นแทรกเป็นจังหวะขณะเงียบ จังหวะที่ไม่มีใครพูด
สิ่งที่พวกน้องๆ ในเรื่องคุยกัน เรากับเพื่อนก็เคยคุย
คำถามเดียวกัน ถ้อยคำกวนตีนแบบเดียวกัน
จริงจัง สับสน และล้อเล่น เหมือนๆ กัน
ฉากนี้ทำให้เราร้องไห้ไหล่โยกนานหลายนาที
ร้องไห้เพราะเศร้า และคิดถึงความสุขในแบบนั้น

ความสุขท่ามกลางหมู่เพื่อนรัก
ที่รักกันแบบไม่ซับซ้อน ไม่คิดมาก
รักกันเพราะรู้จักกัน เพราะเรียนด้วยกัน
คุยกันถึงอนาคตที่ยังไม่เดินทางมา ด้วยความสับสน
แต่เราก็สับสนอยู่ด้วยกันนี่!

สับสนเพราะสิ่งที่กำลังต้องการคำตอบนั้นยังไม่คลี่คลาย
คำตอบยังเดินทางมาไม่ถึง – เราจะเอ็นท์ติดมั้ย?

ราวกับเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิต
เรื่องคอขาดบาดตาย
ตอนนั้นเราก็เครียดแบบนั้น แบบเดียวกัน
แบบเดียวกับเด็ก ม.หก หลายๆ คน

ตอนสอบเอ็นท์เสร็จ เรากับเพื่อนก็ไปทะเล
ไปทำบ้าๆ บอๆ กันริมทะเล นั่งคุยถึงอนาคต
แล้วก็นั่งรถกลับสู่โลกแห่งความจริงที่รออยู่
แทบไม่มีอะไรต่างกันเลย

แล้วพวกเราก็เอ็นท์ติดบ้าง ไม่ติดบ้าง
แล้วพวกเราก็แยกย้ายกันไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน
แน่นอน-ก่อนแยกย้าย เราเซ็นต์เสื้อนักเรียนไว้เป็นที่ระลึก
และยังเก็บไว้ถึงทุกวันนี้

เสื้อตัวนั้นทำปฏิกิริยาไม่ต่างจากหนังเรื่องนี้
หยิบขึ้นมาอ่านแล้วต่อมน้ำตาแตกโดยอัตโนมัติ

อะไรดีๆ ที่ไม่กลับมาอีก มันเศร้า

คืนวันเก่าๆ สมัยมัธยมฯ และมหาวิทยาลัย
สำหรับเรามันเป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆ
สนุกมากๆ และบริสุทธิ์มากๆ

เหมือนโลกมีแค่เราไม่กี่คน
และเราก็สนุกกันอยู่ในโลกใบนั้น

เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีอีกแล้ว

เพราะเราโตขึ้น
โลกของเราขยายออกเรื่อยๆ
เจอโลกเยอะขึ้น เจอเพื่อนน้อยลง

เพื่อนคนเก่าหายไป เพื่อนคนใหม่เข้ามา
เพื่อนคนเก่าที่เคยสนิทใจ ก็เปลี่ยนไปเหมือนๆ กับตัวเราเอง
ต่างคนต่างเปลี่ยน
เหมือนที่น้องคนหนึ่งในเรื่องถามว่า
“อีกหน่อยมึงจะคุยกับกูเหมือนเดิมรึเปล่า?”
วันหนึ่ง คำตอบก็จะเดินทางมาถึงเอง

ย้อนกลับไปมองช่วงเวลานั้น ด้วยดวงตาในตอนนี้
ก็รู้สึกว่า การเอ็นทรานซ์ไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต
ไม่ใช่ปัญหาโลกแตก ไม่ใช่สิ่งสำคัญขนาดนั้น
แต่ตอนนั้นใครจะไปรู้

ตอนนั้นเราจะเป็นจะตาย กินไม่ได้นอนไม่หลับไปกับมัน
พอรู้ผลก็อยากตะโกนดังๆ ใส่โลก – เป็นเหมือนกัน
แต่แล้วมันก็ผ่านไป

คนเสียใจมีมากกว่าคนดีใจ
และนั่นคือหนึ่งบทเรียนด้านความรู้สึกที่คนดีใจไม่ได้รับ

สุดท้าย ทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนต่อไปในมหาวิทยาลัย

ความดีใจก็ผ่านไป
ความเสียใจก็เช่นกัน

ความสุขในคืนวันแบบนั้นก็ผ่านไป
ความเศร้าใจในคืนประกาศผลสอบก็ผ่านไปเช่นกัน

กี่ครั้งที่เคยเศร้า กี่คราวที่ทุกข์ใจ ที่เคยคิดว่าไม่ไหว สุดท้ายก็ผ่านพ้นไป
กี่วันที่เคยสุข กี่คืนที่ท้อใจ จะกี่ครั้ง ความสุขนั้นก็ผ่านพ้นไป

* ถ้าหากวันนี้เราจะต้องห่าง ระยะทางจะเท่าไหร่
จะแค่ไหน จะแสนไกลก็เหมือนมันใกล้
แม้โลกจะหมุน หมุนไป แต่เราไม่เปลี่ยนไป ขอเพียง เพียงเข้าใจ (ยังเข้าใจ)

นึกถึงเพื่อน นึกถึงเพลงนี้ อยากร้องเพลงนี้กับเพื่อน
อยากนั่งร้องเพลงนั่งเล่นกีต้าร์กันริมทะเลอีกครั้ง
คุยเรื่องจริงจังและไร้สาระ หาทางออกไม่เจอ
ผลัดกันเล่าความสับสนในใจให้เพื่อนฟังอีก

ไม่จำเป็นต้องแกล้งพยายามทำเป็นเข้มแข็ง
อยู่กับเพื่อนเราอ่อนแอได้ เราโง่ได้

ดูหนังเรื่องนี้จบแล้วต้องหยิบโทรศัพท์กดหาเพื่อน
อยากให้มันดู อยากชวนมันคุย อยากเจอมัน

อยากได้ยินมันพูดกับเราว่า คิดถึงตอนนั้นเนอะ
แล้วเราจะบอกมันว่า เออ กูก็จะพูดกับมึงแบบนี้เหมือนกัน

วันนั้นนั่งคุยกับพี่ชายคนหนึ่ง
เค้าบอกกับเราว่า คนเรามองชีวิตตัวเองได้แค่ตอนปัจจุบันเท่านั้น
เราไม่สามารถมองปัจจุบันด้วยกรอบความคิดของอนาคตได้

เหมือนเด็กมัธยมฯ ไม่สามารถมองการเอ็นทรานซ์ด้วยกรอบความคิด
ของคนที่ทำงานแล้วได้ ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้สลักสำคัญขนาดนั้น

สิ่งที่เราทุกข์ หากมองด้วยกรอบของวันพรุ่งนี้ เราก็จะรู้ว่ามันก็จะผ่านไป
นั่นอาจเป็นวิธีคิดที่เราใช้ปลอบใจตัวเองอยู่บ่อยๆ

แต่-กลับกัน เมื่อเรามองอดีตจากกรอบความคิดปัจจุบัน
เหมือนที่ได้มองมันผ่านหนังเรื่อง Final Score
เราก็จะพบความจริงอีกข้อ คือ
สิ่งที่เรากำลังมีความสุข ยุคสมัยที่เราร่าเริง ความผูกพันกับเพื่อนที่ดี
สุดท้ายมันก็จะผ่านไปเช่นกัน

และเราจะร้องไห้ด้วยความเสียดาย
ก็ต่อเมื่อได้มานั่งดูมันอีกครั้ง
ในตอนที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีก
จะทำได้ก็แค่เพียง พยักหน้าอย่างผู้ใหญ่ที่(พยายาม)เข้าใจชีวิต
แล้วกระซิบบอกกับตัวเองในใจว่า
ความเศร้าจากอาการเสียดายความสุขเมื่อครั้งอดีตในวันนี้
สุดท้าย, มันก็ผ่านไป, เช่นกัน.

———————————————————
ขอแสดงความยินดีกับทุกคนที่ยังอยู่ในยุคสมัยแห่งความสุข
ขอให้มีความสุขมากๆ ครับ!
😀

ห้าหนังที่ ‘นางฟ้า’ ต้องดู

มกราคม 15, 2007

บ่ายวันหนึ่งหลังจากคุยถึง ‘นางฟ้า’ ไปได้สักระยะ
ผมเกิดอยากรู้ว่า คนอย่างนางฟ้าควรดูหนังประเภทไหน?
และเห็นว่า พี่ปิ่น ปรเมศวร์ เคยเขียนถึง
หนังที่ ‘คนอย่างทักษิณ’ ต้องดู จึงลองกระแซะถามไปว่า
ช่วยเขียนถึง ห้าหนังที่ ‘นางฟ้า’ ต้องดู
มาให้อ่านเป็นความรู้ซะหน่อยสิครับ
พี่ปิ่นตอบทันควัน “ได้ แต่นิ้วกลมต้องเขียนอีกห้าเรื่องนะ”
ผมตอบทันควันที่สอง “ได้อยู่แล้น!”

บัดนี้ พี่ปิ่น ได้เขียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่นี่
ซึ่งผมว่า พี่ท่านเขียนได้ ‘ฮา’ มากๆ ฮา-บนน้ำตาของคนอื่น!

ถึงคราวที่ผมต้องเขียนถึงหนังห้าเรื่องนั้นบ้างแล้ว
และหนังห้าเรื่องดังต่อไปนี้ คือ
หนังที่ผมอยากซื้อดีวีดีไปฝาก ‘นางฟ้า’ ครับ

1.เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย
เหตุผลน่ะหรือ?
เพราะพระเอกเรียนบดินทรฯ คนที่พระเอกชอบก็เรียนบดินทรฯ
เป็นเรื่องของเด็กบดินทรฯ เป็นเรื่องของคนที่ชอบ ‘ของสูง’
เป็นเรื่องของคนไม่ชอบกินผัก แต่พยายามกินผักที่เธอตักให้
(เป็นเรื่องที่ผมยิ่งดูยิ่งนึกว่า ใครมาเอาชีวิตตูไปทำหนังวะเนี่ย?) (ฮ่าฮ่า)
เป็นเรื่องของอากาศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
บางฤดูก็อบอุ่น บางฤดูก็หนาวสั่น จนหวั่นไหว (ฮิ้ว…ว!)
และเป็นเรื่องที่ผมค่อนข้างชอบตอนจบ
เพราะผมก็แอบเชียร์ ‘อ้อม’ มาตลอดเรื่อง
(เห็นมั้ย-จำชื่อได้ แต่จำชื่อคนสีไวโอลินไม่ได้แล้ว)

ผมอยากให้ ‘นางฟ้า’ ดู
เผื่อเธอจะคิดถึงภาพเก่าๆ เผื่อเธอจะเสียดาย (อันนี้ยาก)
และอยากให้เธอสบายใจ(เสียที)ว่า
‘คนตีกลอง’ นั้นสุดท้ายแล้วก็มีความสุขดีกับ ‘คนตีฉาบ’
และก็อาจแนบกระดาษแผ่นเล็กๆ ไปถามเธอด้วยว่า
ตอนนี้ ‘นางฟ้านักสีไวโอลิน’ กำลังมีความสุขอยู่กับใครน้อ?

2.อพอลโล สิบสาม
เป็นหนังที่ผมไม่ชอบ ดูแล้วสัปหงก
แต่อยากส่งให้ ‘นางฟ้า’ ดู เพราะมันเกี่ยวข้องกับ ‘อวกาศ’
อย่างที่รู้กันว่า โครงการอพอลโลนั้นมีไว้เพื่อส่งมนุษย์ขึ้นสู่ดวงจันทร์

หากแบ่งมนุษย์ตามหัวข้อ ‘ความตะเกียกตะกายสู่ดวงจันทร์’
มนุษย์อาจแบ่งได้เป็นสองประเภท
หนึ่ง, ชื่นชมดวงจันทร์อยู่ไกลๆ เห็นแสงนวลๆ สวยงาม
ไม่ต้องการแตะต้อง
สอง, ตะเกียกตะกายจะไปสัมผัสดวงจันทร์ใกล้ๆ ให้ได้สักครั้ง
แม้ต้องเสี่ยงชีวิต แต่ก็คิดว่า เอาวะ! คุ้มค่า

หนังเรื่องนี้ เผยให้เห็นวิกฤตและความล้มเหลวของ
ยานอพอลโลสิบสามที่เกิดอุบัติเหตุถังออกซิเจนรั่วกลางทาง
ทำให้มิอาจไปถึงดวงจันทร์ได้ และต้องกลับสู่โลกด้วยสภาพร่อแร่

ผมอยากให้ ‘นางฟ้า’ หรือในที่นี้ก็คือ ‘ดวงจันทร์’
ได้เห็นบรรยากาศความวิกฤตระหว่างที่ยานเสียศูนย์
และอยากถาม ‘นางฟ้า’ ด้วยว่า
มีสูตรการคำนวนทางวิศวกรรมอากาศยานใดบ้าง
ที่มนุษย์จะสามารถเดินทางสู่ดวงจันทร์ได้โดยปลอดภัย-ไม่เจ็บตัว

3.Trainspotting
ผมจำเรื่องไม่ได้แล้ว แต่จำ ‘อารมณ์’ ได้ดี
ผมว่าหนังเรื่องนี้มันส์มาก
และเป็นชีวิตที่ ‘คนอย่างนางฟ้า’ ไม่น่าจะเคยสัมผัส

ผมเคยจดคำพูดยาวๆ เถื่อนๆ ที่บรรยายไว้ในหนังใส่สมุดบันทึก
“Choose life. Choose a job. Choose a career.
Choose a family. Choose a fucking big television.
Choose washing machines, cars, compact disk players,
and electrical tin openers. Choose good health,
low cholesterol, and dental insurance.
Choose fixed interest mortgage repayments.
Choose a starter home. Choose your friends.
Choose leisure wear and matching luggage.
Choose a three-piece suit on higher purchase
in a range of fucking fabrics. Choose DIY and
wonder who the fuck you are on a Sunday morning.
Choose sittin’ on that couch watching mind-numbing,
spirit-crushing game-shows,
stuffing fucking junk food into your mouth.
Choose rottin’ away at the end of it all,
pissin’ your last in a miserable home
nothing more than an embarrassment to the selfish,
fucked-up brats that you’ve spawned to replace yourselves.
Choose your future. Choose life.

But why would I want to do a thing like that?
I chose not to choose life. I chose somethin’ else.
And the reasons? There are no reasons.
Who needs reasons when you’ve got heroin?”

อยากให้ ‘นางฟ้า’ ช่วยแปลให้ฟังที
แค่รู้สึกว่า ‘นางฟ้า’ คงมีชีวิตที่เลือกแล้ว
เป็น ‘ชีวิตที่ดี’ ตาม ‘แบบ’ ที่ดีที่มีให้เห็น
และอยากถาม ‘นางฟ้า’ ด้วยว่า
“ว่างๆ ออกไปเดินนอกทางชีวิตกันซักวันมั้ย?”
เราก็ ‘หยำเป’ ได้เหมือนกันนะเว้ย!

4.Always – Sunset on Third Street
หนังเรื่องนี้น่ารัก และผมก็หลงรักหนังเรื่องนี้
(แม้ตอนใกล้จบจะยืดย้วยไปบ้างก็พออภัยได้)
เป็นความทรงจำครั้งหลังที่อ่อนละมุนและชวนให้โหยหา
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่า มันไม่สามารถกลับไปเป็นเช่นนั้นได้อีกแล้ว

ผมร้องไห้ให้กับหลายฉาก โดยเฉพาะ ฉากที่นักเขียนการ์ตูนหนุ่ม
สวมแหวนล่องหนให้กับหญิงสาวที่เขารัก ผมร้องไห้ไม่มีชิ้นดี!

ผมมองเห็น ‘แหวน’ ที่เค้าสวม
ผมอยากรู้ว่า ‘นางฟ้า’ มองเห็น ‘แหวน’ วงนั้นไหม?

5.แฟนฉัน
ไม่ต้องดูทั้งเรื่องก็ได้ ถ้า ‘นางฟ้า’ ไม่มีเวลามากขนาดนั้น
ขอให้กดไปที่ฉากสุดท้ายก่อนจบ ก็จะพบกับสิ่งที่ผมอยากบอก
ในฉากที่ ‘เจี๊ยบ’ เดินเข้าไปในงานแต่งงานของ ‘น้อยหน้า’

ใช่-ผมอยากจะบอกว่า
ไม่ว่าวันเวลาและเหตุการณ์เปลี่ยนไปแค่ไหน
‘ภาพนางฟ้า’ ที่ผมจดจำไว้ยังคงเหมือนเดิม

อืม ถ้าเป็นไปได้งานแต่งงานนั้นผมก็อยากไปอยู่เหมือนกันนะ

พยายามเขียนให้ฮา แต่ก็ฮาได้แค่นี้ครับ (เรื่องมันเศร้า)
ตอนนี้ ผมคิดว่า มีบางสิ่งที่สมควรทำต่อจากห้ารายการนี้
และถ้าพี่ปิ่นเห็นว่าสนุก จะร่วมไถ่บาป เอ๊ย! ร่วมสนุกด้วยกันก็ได้นะครับ

ผมคิดว่า เราน่าจะหา “ห้าหนังที่น่าชวน ‘คนตีฉาบ’ ไปดูด้วยกัน”
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ครับ คราวนี้จริงจัง สงสัยต้องใช้เวลาสักหน่อย

ท่านผู้ที่เข้ามาอ่านล่ะครับ
มี ‘ห้าหนัง’ เรื่องไหนจะแนะนำให้ ‘คนตีกลอง’ ควรดูบ้างมั้ยครับ?
‘คนตีกลอง’ หรืออีกนามก็คือ ‘หมามองเครื่องบิน’ (หุหุหุ).

สนามแห่งความสุข

ธันวาคม 19, 2006

1.
ก่อนที่จะได้ชมหนังเรื่อง Driving Lessons ที่ลิโด
เราได้ดู Total Bangkok สารคดีขนาดสั้นประมาณยี่สิบนาที
ของพี่เป็นเอก รัตนเรือง อย่างสนุกสนานสำราญเรติน่า

Total Bangkok เป็นสารคดีเกี่ยวกับนักฟุตบอลใต้ทางด่วน
ดูเผินๆ อาจเรียกพวกเค้าอย่างที่เคยเรียก “พวกเล่นบอลใต้ทางด่วน”
แต่พอได้ไปดูใกล้ๆ จนได้กลิ่นเหงื่อและมีขี้เกลือติดตามา
เราก็กล้าเรียกพวกเค้าเต็มปากว่า “นักฟุตบอล”
(แถมยังเป็นนักฟุตบอลที่แข่งชนะทีมชาติชุด U20 อีกต่างหาก!)

หนังดำเนินไปอย่างเรียบง่าย และเป็นธรรมชาติ
ร้อยเรียงบทสัมภาษณ์ความรู้สึก ความคิด กระทั่งความฝัน
ของบรรดานักฟุตบอลทั้งหลายด้วยผู้บรรยายที่ทำหน้าที่
เหมือนไม้เสียบลูกชิ้น เสียบร้อยเรื่องราวต่างๆ เข้าด้วยกัน
ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว

ผู้บรรยายเสียงเท่ปนยียวน (ก็พี่เป็นเอกนั่นแหละ)
หยอดมุขพอให้ยิ้มเป็นระยะ อาทิ
“วันไหนที่คุณเล่นได้สุดยอด มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ
เหมือนกับได้มีเซ็กซ์กับซอนย่ายังไงยังงั้น
เอ่อ…อันนี้ผมเดาเอานะครับ ผมก็ไม่เคยมีเซ็กซ์กับซอนย่า”

หนังค่อยๆ ไล่เรียงให้เห็นลำดับของการเนรมิตพื้นที่สี่เหลี่ยมว่างเปล่า
ให้กลายมาเป็นสนามฟุตบอลอันอบอุ่นไปด้วยมิตรภาพแบบพี่ๆ น้องๆ
ตั้งแต่การเก็บเงินคนละสองบาทมาซื้อไฟเพื่อติดข้างสนามทีละดวง
ทีละดวง ทีละดวง ทีละดวง จนครบสี่ดวง ค่อยๆ เก็บเงินแล้วลงมือ
ประกอบโกล ซื้อตาข่าย กระทั่งเริ่มมีกล่องสำหรับเก็บอุปกรณ์ต่างๆ
จากพี่ผู้เป็นตัวตั้งตัวตีเพียงสองคน นักบอลก็ค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้น
จนคึกคัก

ผู้คนหลากหลายมาจากต่างสถานที่ แต่ก็มารวมตัวกันที่นี่
เพราะมีความสุขในสิ่งเดียวกัน สิ่งนั้นคือการ ‘เตะบอล’
บางคนบอกว่า บ้าเตะบอลจนต้องเลิกกับแฟน
บางคนบอกว่า ชอบเตะบอลมากกว่าไปเที่ยวกลางคืน
บางคนบอกว่า กลับถึงบ้านก็เปลี่ยนชุดวิ่งมานี่ การบ้งการบ้านไว้ทีหลัง
บางคนบอกว่า มันเป็นความสุขที่สุดของชีวิต

เราก็เคยเป็นแบบนี้ ต้องเตะบอลทุกเย็น
บางวันก็ตอนเช้าและกลางวันด้วย
มันเป็นความสุขชนิดหนึ่ง ความสุขที่ได้เหงื่อออก
ได้วิ่ง ได้ส่ง และรับบอลจากเพื่อน
ได้เล่นด้วยกัน ได้ยิงประตู ได้ดีใจ ได้เซ็งตอนเสียประตู
ได้ตะโกนเรียกชื่อเพื่อนดังๆ ให้มันส่งบอลมา
(ซึ่งในเวลาปกติ คงไม่มีใครเรียกใครดังและตื่นเต้นขนาดนั้น)
ได้นั่งพัก ได้พูดคุยกันถึงจังหวะนั้นจังหวะนี้ ลูกยิงสุดสวย
ลูกรับสุดเหนียว ลูกส่งสุดยอด ที่ขาดไม่ได้คือการค่อนขอด
ทีมฝ่ายตรงข้ามในจังหวะที่เพลี่ยงพล้ำจนหนำใจ-ทีใครทีมัน

เดี๋ยวนี้ก็ยังพอจะมีโอกาสได้ฟาดแข้งบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ทุกเย็น
แบบพวกเค้าเหล่านี้

“สนามฟุตบอลมันอยู่ตรงนี้ มันให้ความสุขกับคุณแน่นอน
ขอแค่คุณมีเวลาเดินทางมา และลงสนามเท่านั้น”
(หนังพูดไว้ดีกว่านี้เยอะ แต่เราจำได้แค่พอเลาๆ)

2.
ตั้งแต่ได้มานั่งเขียนบันทึกนึกก่อนนอนลงในอากาศ
เราก็รู้สึกว่า นอนหลับอย่างมีความสุข
บางที เวลาเราได้คิดอะไรเสร็จสรรพในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
มันก็ทำให้จิตใจสงบได้ไม่น้อย

หากนักฟุตบอลใต้ทางด่วนบางคน กลับถึงบ้านแล้วโยนกระเป๋า
เปลี่ยนชุด พุ่งไปยังสนามเพื่อฟาดแข้งกับเพื่อนฝูง
เราเองก็คงไม่ต่างจากเค้าซักเท่าไหร่ กลับถึงบ้าน
โยนกระเป๋า เปลี่ยนชุด พุ่งไปยังสนามที่ฝากไว้กับอากาศ
ลงฟาดนิ้วกับตัวหนังสือและแป้นคีย์บอร์ด

ก็อดคิดไม่ได้ว่า สิ่งที่ทำให้มีความสุขในการฟาดนิ้วนั้น
อาจเพราะมีคนร่วมลงสนามนี้ด้วยบรรยากาศแบบพี่ๆ น้องๆ

การฟาดนิ้วกับตัวอักษรในบล็อกนั้นเป็นไปอย่างสบายใจ
ไม่เกร็ง และไม่กังวลอะไรมากมายนัก ต่างจากการเขียนหนังสือ
เพื่อลงนิตยสาร หรือเพื่อประกอบร่างเป็นพ็อกเก็ตบุ๊ก
ซึ่งดูจะต้องใช้เวลา ความคิด และการประดิษฐ์ประดอยมากกว่า
แถมบางทีก็ยังมีการกังวลอีกว่า มันดีพอหรือยัง?

นิตยสารและแผงหนังสือเป็นสนามใหญ่ คนดูเยอะ ต้องตั้งใจเล่น
แต่บล็อกฝากอากาศเป็นสนามปูนเล็กๆ ใกล้บ้าน มีเพื่อนมาร่วมเตะบ้าง
พออบอุ่น เตะเอามันส์ เตะได้แบบไม่ต้องเกรงใจใคร ฮ่าฮ่า…

พี่เป็นเอกพูดไว้ท้ายๆ เรื่อง(ประมาณ)ว่า
“ผมตั้งใจมาบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับนักบอลใต้ทางด่วน
แต่สิ่งที่ผมได้กลับไป กลับเป็นบันทึกของความสุข

…ทันทีที่คุณเปลี่ยนชุดลงสนาม
คุณจะวางตัวตนของคุณทิ้งไป
ลืมความกังวล ความอิจฉาริษยาทั้งหลาย
เหลือเพียงแค่ ลูกบอล เท่านั้น…

ไนกี้บอกผมว่า Just do it.
Bobby McFerrin บอกผมว่า
Don’t worry, Be happy.
ผมเพิ่งรู้วันนี้เองว่า มันเป็นสิ่งเดียวกัน
สิ่งนั้นเรียกว่า ความสุข

3.
หลังจากดูหนังจบ
เราแทบอยากโทรไปหาเพื่อนแล้วชวนมันเตะบอลโกลหนู
แต่นั่นก็เป็นอารมณ์ชั่วแว้บ กลับมาที่บ้าน โยนกระเป๋า
เปลี่ยนชุด ลงสนามที่คุ้นเคย-สนามตัวหนังสือขนาดเล็ก
และก็พบว่า มันก็เป็นสนามที่รอเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
และเราก็สามารถมีความสุขกับมันได้แบบเชื่อใจได้
ไม่ต่างจากสนามฟุตบอลใต้ทางด่วนของพวกเค้า

ใครๆ ก็คงมี ‘สนามแห่งความสุข’ ของใครๆ
ต่างคนต่างรูปแบบต่างสนามให้ลง ‘เล่น’
เป็นสนามที่ไม่มีใครมานั่งตั้งหน้าตั้งตาคาดหวังกับเรา
ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามสบาย แค่เล่นให้สนุก

และหากวันไหนโชว์ฟอร์มได้สุดยอดขึ้นมา
ก็คงมีความสุขไม่ต่างจากการได้มีเซ็กซ์กับ…เอ่อ…
เลือกกันเอาเองก็แล้วกัน

ว่าแต่…
สนามแห่งนั้นของคุณคืออะไร?

ความเปลี่ยนแปลงทุกๆ เจ็ดปี

พฤศจิกายน 7, 2006

สะดุดกับประโยคหนึ่งในนิตยสารไบโอสโคป ฉบับที่หกสิบ หน้าปกจางจื้อยี่
“เนื่องจากคนเรามีความเปลี่ยนแปลงหลายด้านทุกๆ เจ็ดปี”

เป็นประโยคต้นตอความคิดของหนังสารคดีอังกฤษของผู้กำกับ ไมเคิล แอ็ปเต็ด
โดยเรื่องแรกสุดของชุดคือ 7 Up ซึ่งตามสัมภาษณ์เด็กนักเรียนอายุเจ็ดขวบ
จากปูมหลังหลากหลาย รวมสิบสี่คน เกี่ยวกับความหวัง ความฝัน ความกลัว
ไล่ไปจนถึง ผักที่ชอบกิน! (ไม่รู้ตกใจทำไม?)

จากนั้นก็ออกฉายทางทีวีในอังกฤษเมื่อปี 1964
และก็ได้รับเสียงฮือฮาอื้อซ่าน่าดู
พี่แอ็ปเต็ดเลยเดินหน้าเก็บเรื่องราวชีวิตของเด็กๆ เหล่านี้ต่อเนื่องมา
ในชื่อเรื่อง 14 Up / 21 Up / 28 Up / 35 Up / 42 Up
และ 49 Up เรื่องนี้ (ล่าสุด)

ไบโอสโคปบอกกับเราว่า
เด็กน่ารักบางคนใน 7 Up ยอมรับอย่างเจ็บปวดใน 49 Up
ว่าชีวิตผู้ใหญ่ไม่ได้สวยงามเหมือนที่เคยฝันสมัยเด็กเลย
ขณะเดียวกัน…
บางคนซึ่งวัยรุ่นเป็นกบฏ โตขึ้นมากลับเป็นนักธุรกิจร้อยล้าน
คนที่เคยเป็นเด็กเกลียดโรงเรียน โตขึ้นมากลับเป็นคุณครูที่มีความสุขมากๆ

แค่นี้ก็ทำให้เราอยากดูจนน้ำตาไหล (น้ำลายเอาไว้ไหลตอนอยากกิน)
และเผลอคิดไปด้วยว่า อยากถูกบันทึกชีวิตเอาไว้ดูเล่นบ้าง
ถ้าในบรรทัดถัดมาไบโอสโคปไม่บอกกับเราว่า
เด็กหลายคนถอนตัวไปกลางคันเพราะรับมือกับชื่อเสียงไม่ไหว
หรือไม่ก็พบว่าเจ็บปวดเกินไปกับการต้องถูกติดตามสัมภาษณ์ทุกช่วงชีวิต
(นั่นสิ ลองนึกภาพว่ามีพี่เช็ค-คนค้นคน เดินตามต้อยๆ ตลอดชีวิตดูสิ!)
ทุกคนยอมรับด้วยว่าสารคดีชุดนี้ทำให้คนดูติดตากับภาพลักษณ์ในวัยเด็กของพวกเขา
ซึ่งนั่นส่งผลต่อการดำเนินชีวิตในปัจจุบันมาก

ไม่ต้องรอให้ถึงเจ็ดปี เอาแค่เจ็ดวินาที คนเราก็เปลี่ยนแปลงเป็นปกติวิสัย
ยิ่งถ้านับอาการเปลี่ยนใจ ก็อาจไวกว่านั้นมากนัก
วินาทีที่แล้วอยากนอน วินาทีนี้มานั่งเขียนบล็อกอยู่ได้ซะนี่!

สมัยเรียนปีห้า (ปีสุดท้าย) จำได้ว่าชอบนั่งทำนายอนาคตของเพื่อนคนนั้น ไอ้คนนี้
ว่าอีกห้าปีมันจะเป็นยังไง ทำนายทายทักกันอย่างกะหมอสบู่ลักซ์ฟันธง
เวลาผ่านมาห้าปี สิ่งที่ทำนายคาด+เดาเอาไว้ มีบ้างที่ถูก และมีมากที่ผิด

ใครจะไปทำนายอนาคตของใครได้

เรามักคาดการณ์อนาคตจากอดีตและปัจจุบัน
คล้ายกันกับคำบ่นของคนในหนังสารคดีสูตรคูณแม่เจ็ดนี้น่ะแหละ
ที่คนดูมัวแต่ไปติดกับภาพลักษณ์เก่าๆ สมัยพวกเขายังเป็นเด็ก
อวัยวะยังเล็กจิ๋ว

คาดเดาว่า เติบโตขึ้นมา เวลาผ่าน
แล้วเหตุการณ์ต่างๆ จะดำเนินไปตามทางที่ดำเนินมาตลอด
จากอดีตสู่ปัจจุบันไปยันอนาคต

แต่ชีวิตจริงไม่ใช่ผู้หญิงใจง่าย จะได้มาหลอกฟัน(ธง)กันง่ายๆ แบบนั้น
หลายครั้งที่-อนาคตดำเนินต่อจากอนาคต
ใช่! มิใช่มีเพียง ‘อดีต’ และ ‘ปัจจุบัน’ เสียหน่อย
ที่จะเป็นรากฐานนำไปสู่อนาคตที่สดใส หรือ มัวหมอง
ตัว ‘อนาคต’ เองก็เป็นรากฐานสำคัญเช่นกัน

ขึ้นชื่อว่า ‘อนาคต’ มันย่อม ‘คด’ และ ‘ไม่ตรงแหน่ว’ ให้เดาทางกันได้ง่ายๆ
วันนี้เป็นตัวเต็งเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
พรุ่งนี้อาจทะลึ่งไปสะดุดฝาท่อ ความรู้กระเด็นหายต๋อมไปจากสมองก็ได้
วันนี้เป็นไอ้ที่โหล่ พรุ่งนี้อาจเดินไปชนสาวน้อยคนขยัน
แล้วชวนกันตั้งใจอ่านหนังสือ ฝึกปรือจนเรียนเก่ง ก็ไม่เห็นจะแปลก

พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร? – ใครรู้?

จุดหักเหของชีวิตเกิดขึ้นได้ทุกวัน
ความเปลี่ยนแปลงของชีวิตก็มีให้เห็นเป็นช่วงๆ (ไม่ต้องเล่นมุข หลินฮุ่ย!)
อยู่ที่ใครจะมีเวลาว่างช่วงไหนมานั่งจ้องมองความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง
ไม่เสมอไปหรอกมั้ง-ที่ผู้ซึ่งนั่งทบทวนชีวิตตัวเองบ่อยๆ จะมีชีวิตที่ดีกว่า
คนที่ปล่อยไหลไปตามเรื่องตามราว

แต่โดยปกติทั่วไป เราน่าจะเปิดเกมรุก และตั้งเกมรับอนาคตให้ดี
รุก-สู่จุดหมายที่อยากไปให้ถึงในวันพรุ่งนี้
รับ-สิ่งที่เกินคาดหมายทั้งร้ายและดี ที่เข้ามาอย่างไม่ตั้งใจ และไม่ให้ตั้งตัว
…เผื่อใจไว้บ้าง…

อาจไม่เฉพาะเรื่องร้าย-ดีที่เกิดกับเรา
แต่น่าจะกินความรวมไปถึงเรื่องที่เกิดกับคนข้างๆ เราด้วย
ความเปลี่ยนแปลงของคนข้างๆ บางครั้งก็นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่
และสั่นไหวถึงอะไรบางอย่างข้างในตัวเรา
ซึ่งบางครั้ง-อาจเปลี่ยนไปตลอดกาล

อาจารย์ท่านหนึ่งเคยสอนว่า
“อนาคตจะเป็นไปอย่างที่เราคิดไว้ในหัว”
หากเราจะโยนโบว์ลิ่ง แล้วไม่มีภาพของพินทั้งหมดล้มระเนระนาด
เราย่อมไม่สามารถทำสไตรค์ได้เลย (นอกจากฟลุ๊ก-ไม่ต้องเล่นมุขเกริกพล!)

แต่-ก่อนโยน หากภาพในหัวคือ พินทั้งหมดล้ม!
ผลลัพธ์อาจไม่ใช่สไตรค์ แต่อย่างน้อยก็ไม่น่าจะ ‘ตกราง’

ภาพอนาคตข้างหน้าอีกเจ็ดปีน่ะหรือ?
เดายาก!
คาดว่าไม่น่าจะสไตรค์ และไม่น่าโหดร้ายขนาดตกราง
ขอเก็บพินกลางๆ ให้ได้สักห้าพินก็น่าจะกำลังดี

หันไปมองภาพอดีตน่าสนุกกว่า
เพราะอดีตไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
อดีต ไม่ว่าจะแย่หรือดี เมื่อเวลาผ่าน
มันมักถูกเก็บไว้ในด้านที่สวยงาม-ไม่รู้ทำไม!

นั่งนึกย้อนถึงวัย 21 Up – เมื่อเจ็ดปีก่อน
อืม…ยังละอ่อน ยังไม่มีพุง!

http://www.firstrunfeatures.com/49up_synopsis.html