ข้อสอง: ซื้อคราวหน้าได้ไหม?
อันนี้เป็นหนังสือที่ได้คำตอบกับตัวเองแล้วว่า “อ่านจบแน่ๆ” แต่เมื่อก้มลงไปมองถุงโตงเตงในสองมือที่ถือแทบจะไม่ไหว (นั่นย่อมหมายความว่าคงอ่านไม่หมดในหกเดือนนี้ด้วย) ก็ต้องเงยหน้าขึ้นมาทำตาอาลัยเหมือนพี่มากกำลังจะลาอีนาคไปรบ แล้วเดินจากไปอย่างอาวรณ์ พูดกับหนังสือเล่มนั้นในใจว่า “คราวหน้าเจอกันใหม่ ถ้าพี่ยังอยากได้เธออยู่” หรือ “ตราบที่เราถูกกำหนดมาเป็นของกันและกัน มันต้องมีสักวันที่เราจะได้ใช้เวลาร่วมกัน”
การตัดสินใจแบบนี้นี่นับว่ามีข้อดีอย่างน้อยสองประการ หนึ่ง-ไม่ต้องเอาเงินไปจมอยู่ในหนังสือ ไม่ต้องเอาหนังสือไปจมอยู่ในกองฝุ่น และสอง-การมาซื้อคราวหน้านั้นก็ช่วยทำให้จ่ายน้อยลงอีกด้วย หนังสือบางเล่ม เวลาผ่านไปหกเดือน ราคาลดลงจนน่าตกใจสำหรับคนที่ซื้อไป และน่าแสยะยิ้มสำหรับคนที่กลั้นใจไว้ ยิ่งเวลาผ่านไปนานวัน ราคาก็ยิ่งต่ำลง ผมเคยซื้อหนังสือชุดหนึ่ง (สี่เล่ม) ในราคาเจ็ดร้อยกว่าบาท ณ วันนี้เขาขายแค่สองร้อยกว่าบาทเท่านั้นเอง!
ข้อสาม: รักจริงหรือ?
ข้อนี้ใช้วิธีพิสูจน์เหมือนเวลาเราไม่มั่นใจว่าจะรักใครคนนั้นจริงหรือเปล่า (ให้เวลาเป็นคำตอบ) ใช้สำหรับเล่มที่ชอบแต่ยังไม่ใช่ (อ่านจบแล้วอาจจะใช่) ด้วยวิธีเดินผ่านมาผ่านไป หยิบดูแล้วดูอีก อ่านหน้าโน้นทีหน้านี้ที มีหนังสือบางเล่มที่ผมทำอย่างนี้ประมาณห้ารอบ จนคนขายขำว่ามันจะลังเลอะไรนักหนา บางเล่มทำมาสามปีแล้วก็ยังไม่ได้ซื้อสักที วิธีนี้จะช่วยพิสูจน์ใจตัวเองได้ว่าอยากอ่านหนังสือเล่มนั้นมากขนาดไหน ถ้าหยิบจับขึ้นมาเกินสิบหน ก็สมควรซื้อ ไม่ใช่เพราะรักจริงหรอก แต่ควรซื้อก่อนที่จะโดนคนขายเขวี้ยงหนังสือเล่มนั้นใส่กบาล
ข้อสี่: ซื้อหนังสือเก่า
ข้อดีของงานหนังสือคือจะมีร้านหนังสือเก่ามาขายในโซนซีมากมายหลายร้าน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือดีๆ ของนักเขียนไทยอย่าง ‘รงค์ วงษ์สวรรค์, อาจินต์ ปัญจพรรค์, ฮิวเมอร์ริสต์, คึกฤทธิ์, มนัส จรรยงค์, ฯลฯ หรือหนังสือแปลดีๆ วรรณกรรมต่างชาติที่น่าสนใจ ข้อสำคัญคือ หนังสือเก่าเหล่านี้ราคาถูกสุดคุ้ม แค่ได้เดินเข้าไปพลิกดูหน้าปกสวยๆ ของยุคสมัยนั้นก็เพลิดเพลินแล้ว ระหว่างเลือกซื้อก็ยังได้รู้สึกราวกับเป็นนักสะสม เพราะแต่ละเล่มนั้นมีอายุไม่ใช่น้อย มีเรื่องราวและคราบราเลอะพองาม บางครั้งผมหยิบหนังสือเก่าๆ เหล่านี้ทีหนึ่งสิบเล่ม รวมราคาแล้วแค่สามร้อยบาทเท่านั้นเอง
ข้อห้า: ไม่ต้องยกเซ็ตก็ได้
เดี๋ยวนี้ สนพ. ต่างๆ จะมีโปรโมชั่นไม่ต่างจากบริษัทเครือข่ายมือถือ ซื้อผลงานนักเขียนคนนี้ครบชุด รับไปเลยแก้วกาแฟ แผ่นรองเม้าส์ หรือส่วนลดสุดพิเศษ บางบูธอาจแถมเบอร์คนขาย นั่นเป็นสิ่งยั่วยวนที่ย่ำยีความรู้สึกจริงแท้ที่เกิดขึ้นกับผู้อ่านและตัวหนังสือ แทนที่จะซื้อเพราะอยากอ่าน เรากลับซื้อมาเพราะอยากได้ของแถม บางทีเราอาจจะต้องการอ่านงานของเขาบางเล่ม หรืออ่านทีละเล่ม ค่อยๆ เรียนรู้กันไป แต่พอเจอโปรโมชั่นเข้าไปก็หน้ามืด หอบกลับมาเป็นกอง ซึ่งก็เป็นกองจริงๆ หอบกลับมากองไว้ในห้องอ่านไม่ครบทุกเล่มที่ยกเซ็ตมา ผมเองก็เล็งเพชรพระอุมาเอาไว้หลายปีมาแล้ว โชคดีที่ไม่ได้ซื้อตอนคลั่ง (การซื้อ) หนังสือ ไม่งั้นถ้ายกเซ็ตมีหวังพุงกิ่ว เคี้ยวกระดาษแทนข้าวเป็นแน่ สำหรับนักเขียนที่เราอยากทำความรู้จักนั้น การเริ่มทีละเล่มสองเล่มน่าจะดี ส่วนสำหรับนักเขียนที่เราชื่นชอบและติดตามจะซื้อยกชุดก็คงจะได้ หากเราแน่ใจว่าจะอ่านหมด ผมคิดเสมอว่า สำหรับหนังสือแล้วไม่มีคำว่าเปลือง ถ้าซื้อแล้วได้อ่าน
(น่าจะยังมีอีก วันนี้พอแค่นี้ก่อนครับ)