Archive for the '06: ปิ๊ง!' Category

ศิลปะแห่งความจริงใจ

กุมภาพันธ์ 18, 2007

‘ความจริงใจ’ เป็นศิลปะประเภทหนึ่ง
ไม่ง่าย ที่เราจะทำตัวจริงใจกับใครสักคน
มีเพียงบางคนเท่านั้น ที่เรากล้า ‘จริงใจ’ ใส่เขา
บางคน จริงใจมากเกินไป ก็อาจทนกันไม่ไหว
รับกันไม่ได้ และอาจฟูมฟายนำไปสู่การเลิกคบหา

การพูดจากันด้วยความจริงใจหาได้ยากในบทสนทนาของคนเพิ่งรู้จัก
แต่ก็ไม่เสมอไป บางคน เพิ่งรู้จักกันก็ซัด ‘ความจริงใจ’ ใส่กันโครมๆ
อาจมีอะไรบางอย่างบอกใบ้กับเราว่า ไอ้คนนี้ ‘จริงใจ’ ใส่มันได้

เราจึงมักหยั่งเชิงอยู่พอสมควร ก่อนที่จะ ‘จริงใจ’ กับใครสักคน
ด้วยรู้ฤทธิ์แห่ง ‘ความจริงใจ’ ดี

แหม ใครจะกล้าทัก คนที่เพิ่งเจอว่า “น่ารักจังเลยค่ะ แต่กลิ่นตัวเหม็นยังกะปลาร้า!”
หรือ “เสื้อกล้ามตัวนี้สวยดีนะคะ แต่ก่อนใส่น่าจะตัดขนจั๊กกะแร้ก่อนนะคะ”
หรือ “ช่วงนี้ทำงานหนักเหรอครับ หัวเถิกเชียว”

มันก็จริงใจกันเกินไป

‘ความจริงใจ’ จึงเป็นศิลปะ
และหากมีใครเปิดสอนคอร์ส ‘ศิลปะแห่งความจริงใจ’ เราอยากไปสมัครเรียน
ความจริงใจเคยทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเพื่อนสนิท ‘ร้าว’ มาแล้ว
แม้ยังคบหากันอยู่ แต่รอยร้าวก็ยังคงร่องรอยไว้ ยากจะกลับไป ‘สนิท’ ดังเดิม

การที่จะพูดจา ‘จริงใจ’ จึงต้องอาศัยศิลปะ
‘สาร’ แห่งความจริงใจน่าจะถูกส่งออกไปพร้อมกับความเข้าอกเข้าใจ
และความปรารถนาดี เมื่อนั้น ‘ความจริงใจ’ จะสวยงาม
ไม่ห่าม ไม่ดิบ ไม่แข็ง ไม่รุนแรงจนเกินไปนัก

ทุกครั้งที่ได้รับคำแนะนำจากเพื่อน, พี่, น้อง ที่จริงใจ
เรามักรู้สึกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนนั้นกระชับแน่นขึ้น

ยิ่งสนิทกัน เรายิ่งกล้าพูดจากันจากใจ
ยิ่งพูดจากันจากใจ เราก็ยิ่งสนิทกัน

เราชอบคนจริงใจ และเชื่อว่าใครๆ ก็คงชอบ
เราพยายามจริงใจกับคนที่จริงใจได้
และหวังว่าเขาจะจริงใจกลับมา

แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยชอบความจริงใจมากนัก
ก็ต้องรักษาระยะให้พอเหมาะ

วันนี้ได้รับข้อความดีๆ ที่จริงใจจากพี่ชายคนหนึ่ง
เขาระมัดระวังคำพูดคำจามากๆ ว่าจะทำร้ายน้องชาย
ทุกถ้อยคำเต็มไปด้วยปรารถนาดีและความจริงใจ
เมื่อได้ฟังแล้ว ไม่มีเลยที่เราจะโมโห ไม่เข้าใจพี่
มีแต่ที่ได้ยินแล้วอยากยกมือไหว้

ความจริงใจ จึงไม่ใช่ทั้งการเลือกที่จะไม่พูดเรื่องที่ไม่ถูกใจ หรือเรื่องที่เรารู้สึกแย่
และก็ไม่ใช่การสักแต่จะพูดออกไป โดยไม่คิดถึงจิตใจของฝ่ายที่รับฟัง
หากแต่ เป็นการเริ่มต้นการพูดจาด้วยเจตนาที่ดี และถ้อยคำที่นุ่มนวลชวนให้คิดตาม

‘สาร’ ก็ยังส่งผ่านไปเท่าเดิม

ในชีวิตเรา เราต้องการคนพ่น ‘ถ้อยคำจริงใจ’ ใส่รูหูอย่างสม่ำเสมอ
เรื่องที่เผลอ เราต้องการคำตักเตือน
เรื่องที่พลาด เราต้องการคำท้วงติง
เรื่องที่ผิดใจกัน เราต้องการคำบอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
เพื่อนประเภทนี้ จะช่วยชี้ให้เรามองเห็นด้านอื่นที่ไม่เคยมอง
ได้ฟังแล้วตรึกตรองก็จะมองเห็นปัญหา นำไปสู่การพัฒนาต่อไป

คบคนจริงใจไว้เยอะๆ ย่อมดีกว่าคบคนขี้ป้อยอ
ติเพื่อก่อ ย่อมดีกว่า ชมเพื่อรอให้มันเลี้ยงข้าว!

เรื่องคำชม ไม่ต้องห่วงหรอก
เพื่อนที่จริงใจก็ยินดีหยิบยื่นให้เราในวันที่เขาเห็นว่า น่าชม
และคำชมนั้นคงมีค่าเข้าไปอีกหลายเท่า
เมื่อเรารู้ว่า ออกมาจากปากของคนที่พูดจากใจจริง

วันนี้เป็นวันที่ได้เรียนรู้ สิ่งที่เคยรู้มานาน
แต่ได้รู้ซึ้งขึ้น เมื่อพบเจอความจริงใจที่ชวนให้รู้สึกดี
จึงอยากบันทึกบอกกับตัวเองไว้อีกทีว่า
ใครๆ ก็ชอบ ‘ความจริงใจ’ กันทั้งนั้น

แต่ความจริงใจที่แล้งไร้ศิลปะ ก็อาจทำร้ายมนุษย์ได้ไม่แพ้คำยกยอปลอมๆ

‘การทะนุถนอมหัวใจ’ กับ ‘ความจริงใจ’
จึงเหมือนสองด้านของเหรียญเดียวกัน มีทั้งสองด้านจึงจะมีค่า

และเวลาที่มีคนแสดงความจริงใจกับเราด้วยโดยไม่ลืมทะนุถนอมจิตใจ
ยิ่งทำให้เรา ‘รัก’ คนคนนั้นมากยิ่งขึ้น

ขอบคุณพี่ชายคนนั้น

ด้วยความจริงใจ.

ดอกไม้ที่ไม่เฉา

กุมภาพันธ์ 14, 2007

(นี่คือ งานเขียนเมื่อหกปีที่แล้วครับ เคยเขียนส่งไปลงในเว็บไซด์แห่งหนึ่ง
และนำมาร่วมเล่มเป็นหนังสือทำมือกะเค้าด้วย ลองคุ้ยขึ้นมาอ่านใหม่
เห็นว่าตลกดี เลยเอามาแปะไว้ต้อนรับเทศกาลการให้ดอกไม้ครับ)

ทิวลิป ลิลลี่ คาเนชั่น กุหลาบนานาสีนานาสัน
แย่งกันชูช่ออวดความงามเบิกบานของตัวเอง
ไม่ต่างจากผู้คนมากมายในวันนั้น
ที่ดูแล้วหน้าบานไม่แพ้ดอกไม้ในมือเลย

อ๋อ ผมกำลังพูดถึงงานรับปริญญาอยู่น่ะครับ
ช่างเป็นวันที่รอยยิ้มล้นสถานที่จริงๆ
ไม่ว่าสถานที่จัดงานจะกว้างขวางแค่ไหนก็ดูเหมือนว่า
จะแคบไปทันทีเมื่อหน้าของบัณฑิตบวกเข้ากับ
ของญาติมิตรบานกองรวมกัน

เป็นบรรยากาศที่มีสีสันมากวันนึง

ลูกโป่ง ริบบิ้น ของขวัญ และแน่นอน ดอกไม้
ช่วยกันสร้างสีสันให้กับวันนั้นจนดูละลานตา
เหมือนรุ้งถูกระเบิดแตกตกลงมากระจายอยู่ทั่วงาน
ทุกอย่างถูกนำมาเพื่อแสดงความยินดีให้กับบัณฑิตที่เพิ่งจบ
จริงๆต้องใช้คำว่า ‘จบซะที’ มากกว่า
ใครๆก็ต้องดีใจเรียนมาตั้งนาน ก็เลยไม่ใช่เรื่องแปลก
ที่คนจะซื้อลูกโป่ง ของขวัญ หรือดอกไม้ให้กัน

ทิวลิป ลิลลี่ กุหลาบ คาเนชั่น พรุ่งนี้มันจะเป็นยังไง
มันก็คงต้องเหี่ยวกันไปตามวันเวลา
“ซื้อกันทำไมหว่า? แพงก็แพง”
เคยคิดอย่างนี้กันบ้างรึเปล่า
ผมคิดอย่างนี้มาเสมอ

ดอกไม้แห้งจนเป็นสีน้ำตาลทั้งก้าน ใบ และดอกวางอยู่มุมห้อง
ผมเห็นแล้วรกหูรกตา เกือบเอาไปทิ้งอยู่หลายรอบ
ผมไม่เข้าใจจริงๆน่ะแหละว่า พี่สาวของผมเขาจะเก็บมันไว้ทำไม
ถ้าอยากประดับห้องก็น่าจะหาดอกไม้สวยๆสดๆมาประดับ
จนกระทั่งมีวันนึงผมอยากจะไขข้อข้องใจที่มีมานาน
เลยเอ่ยปากถามเจ้าของดอกไม้

ก็เลยได้คำตอบว่า
“นี่เป็นดอกไม้ดอกแรกที่…เขาให้พี่เลยนะ”
อ๋อมิน่าก็เลยปลื้มเป็นพิเศษ ตอนเล่านี่ตาเยิ้มเชียวล่ะ
ผมก็ได้แต่พยักหน้าตามหงึกๆ
และปล่อยให้ดอกไม้ช่อนั้นอยู่ในห้องตามเดิม
มันคงสำคัญจริงๆน่ะแหละ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
ว่าอะไรมันจะขนาดน้าน จนกระทั่ง..

วันนั้นเป็นวันวาเลนไทน์ ผมยังเป็นนักเรียนตัวจ้อย
ที่แอบไปหลงรักเข้ากับเพื่อนร่วมห้องคนนึงอาจเรียกได้ว่าเป็น
‘รักของลูกหมา’ ก็คงจะได้ เพราะเป็นรักที่ไม่มีเหตุผลอะไรมากมายนัก
แน่นอนวันแห่งความรักทั้งที ได้โอกาสต้องแสดงความรักซะหน่อย
ผมตัดสินใจอยู่นานเพราะไม่แน่ใจนักว่าการให้ดอกไม้ในวันนี้
จะเป็นการเริ่มต้นหรือสิ้นสุดกันแน่ แต่รู้สึกตัวอีกทีก็จะเคารพธงชาติอยู่แล้ว
แย่ล่ะสิดอกไม้ก็ยังไม่มี แต่ยังดีที่ตอนนั้นผมมีเพื่อนมาสายเป็นประจำ
อยู่หนึ่งคน ได้โอกาสเลยโทรไปฝากซื้อดอกไม้มาให้หน่อย
ตอนนั้นยังไม่รู้จักดอกอะไรซักอย่าง
“เอาน่าดอกไม้เป็นใช้ได้” ผมสั่งเพื่อนไปอย่างนั้น

เมื่อเลิกแถว วันนี้ดูวุ่นวายกว่าวันอื่นๆ
เหล่าลูกหมาต่างวิ่งหาคนที่ตัวเองแอบชอบกันยกใหญ่
ผมก็เป็นหนึ่งในหลายๆตัวนั้น โอ๊ะโอ เธออยู่นี่นี่เอง
เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน ผมพุ่งเข้าไปหลับหูหลับตายื่นดอกไม้ให้
ไม่พูดอะไรซักคำ นึกในใจว่าดอกไม้คงพูดแทนผมหมดแล้ว
1นาทีนานเหมือน10ปี

“ขอบคุณ” เธอกล่าวขึ้นพร้อมกับรับดอกไม้ไปหน้าตายิ้มละไมเชียว
ผมพยักหน้าไม่ว่าไร อีกครั้งที่ผมให้รอยยิ้มพูดแทนผม

ถึงวันนี้ผมยังจำความรู้สึก เสียงเต้นของหัวใจ ลิลลี่3ดอก
คำขอบคุณ และรอยยิ้มนั้นได้ดีซะยิ่งกว่าสูตรฟิสิกส์ที่เรียนตอนนั้น
ถูกครับ แม้ว่าดอกลิลลี่3ดอกในวันนั้น มันจะเหี่ยวเฉาร่วงโรยไปแล้ว
แต่ในความทรงจำของผมมันยังเป็นลิลลี่สีชมพูที่บานอย่างสดใสอยู่ตลอดเวลา

“อ๋อ เรียกว่าลิลลี่เหรอ?”
การให้ดอกไม้ในวันนั้นทำให้ผมรู้จักดอกสีชมพูกลีบใหญ่ๆ
มีเกสรตรงกลางเป็นเส้น ปลายเกสรมีสีเหลือง สวยดีจัง
นี่คือ1ในสิ่งที่ผมได้รับในวันนั้น

การให้ดอกไม้คนอื่นมันดีอย่างงี้นี่เอง คุณล่ะเคยลองให้ดอกไม้ใครรึยัง?
ลองดูสิแล้วจะรู้ว่าดอกไม้ที่ไม่เฉาน่ะเป็นยังไง

(ไม่ได้แก้ไขอะไรเลยครับ คงไว้ตามเดิมทุกประการ
ตัวสะกดผิด เว้นวรรคผิด และความรู้สึกกับดอกไม้สามดอกนั้น).

รักษารัก

กุมภาพันธ์ 8, 2007

1.
เด็กชายชื่อ ลอบ เห็นเด็กหญิงชื่อ ทอง ครั้งแรกตอนเขาอายุสิบสาม
ส่วนเธอนั้นประมาณเจ็ดถึงแปดขวบ เธอปลูกกระต๊อบอยู่ปลายนา
และเขาไปหาปลาแถวนั้นพอดี

นั่นคือการเจอกันครั้งแรก
จำการเจอกันครั้งแรกของคุณกับคนที่คุณรักได้ไหม?

“เราคุยกันครั้งแรกที่งานวัดป่า หลังจากผ่านวันที่เจอกันครั้งแรกมาสี่ปี
เราไปเที่ยวกับเพื่อนเรา ส่วนเขาไปรำวงพร้อมกับญาติๆ เขา
ต่างคนต่างไป แต่ดันไปเจอกันโดยบังเอิญ ตอนนั้นเขาเริ่มแตกเนื้อสาว
หน่อยๆ รู้สึกว่าเขาน่ารักดี เห็นแล้วก็ปิ๊งเล็กๆ แต่ยังไม่คิดอะไรมาก…”

“จำได้ว่าคำแรกที่คุยกับเขา คือ เราถามไปว่า มานานหรือยัง
เขาตอบกลับมาว่า มานานแล้ว จากนั้นก็ยืนคุยกันอยู่ประมาณยี่สิบนาที
ยายทองก็ขึ้นไปรำวง ก่อนขึ้นไปเขายังบอกเราให้คอยหน่อย
จะได้เดินกลับบ้านทางเดียวกัน…”

นั่นคือการคุยกันครั้งแรก
จำคำพูดแรกที่คุยกับคนที่คุณรักได้ไหม?

“หลังจากคุยกันครั้งแรกที่งานวัดวันนั้น เราก็ไม่ได้เห็น ไม่ได้พูดกันอีก
ร่วมๆ สามปี เพราะว่ายายเขาต้องไปทำงานเป็นเด็กรับใช้ที่บ้านคนจีน
ในแถบตัวอำเภอ…”

“ตาเห็นยายอีกทีตอนที่เขาแวะไปหาเพื่อนหญิงของเขาที่บ้าน
เผอิญว่าเราก็ไปหาญาติที่บ้านหลังนี้พอดี ซึ่งเพื่อนเขาก็เป็นญาติ
ของเราด้วย เขากำลังนั่งคุยกัน ตอนนั้นแกเป็นสาวอายุได้สักสิบห้าแล้ว
เราเห็นก็หลงรัก รู้สึกว่าแกสวยกว่าใครที่เราเคยเห็น”

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อห้าสิบปีที่แล้ว แต่ตาลอบยังจำได้แจ่มชัด

“เราถามเขาว่า มาทำอะไร เขาบอกว่า มาหาเพื่อน จากนั้นเราก็ฉวยโอกาส
นั่งคุย ญาติเราที่เป็นเพื่อนเขาก็แกล้งทำเป็นลุกออกไปที่อื่น นั่นเป็นวันแรกที่
ได้คุยกันสองต่อสอง เราคุยกันไปได้สักสิบนาที ยายทองเขากลัวญาติๆ มาเห็น
ก็เลยขอตัวหลับบ้าน”

คุณล่ะ คุยกันสองต่อสองกับคนรักครั้งแรกเมื่อไหร่?

“เจอกันครั้งต่อมาที่บ้านญาติหลังเดิม ตาก็ตัดสินใจบอกรักยายเลย
พอบอกรักเสร็จ เราก็ถามต่อไปอีกว่า ‘รักกันได้ไหม’ ยายบอกว่า ‘รักได้’
เราก็จำคำนั้นไว้ตลอด ใจหนึ่งก็รู้สึกดีใจมาก แต่อีกใจหนึ่งก็ยังไม่แน่ใจ
กลัวเขาพูดเล่น เลยแอบไปบ้านยายตอนดึกอีกสามคืนติดกัน
ไปบอกรัก ไปถามเขาแบบเดียวกันอีกสามครั้ง ปรากฏว่าคำตอบเหมือนเดิม
ทั้งสามครั้ง ทีนี้ถึงได้รู้ว่ายายเขาพูดจริงๆ ตาเลยหลับฝันดีทั้งสามคืน”

ยังจำวันนั้นได้ไหม วันที่บอกรัก?

2.
(ถ้าร้องได้ กรุณาร้องตามทำนองเพลงนะครับ)

วันที่จับมือกัน เธอกับฉันนั้นลืมบ้างไหมว่าเมื่อไหร่
จำอะไรได้บ้างไหม ว่าสุดท้ายอะไรที่ทำให้ได้พบกัน
แล้วใครรักใครก่อน ไม่รู้ว่าเรารักกันเมื่อไหร่

แต่ความรู้สึกของฉันวันนั้นเท่านั้น ( มันได้ตอบคำถาม )
บอกกับฉันว่าเธอคนนี้ ( อยู่กับฉันบนโลกใบนี้ )
และนับตั้งแต่นาทีตรงนั้น ที่ฉันเพิ่งรู้ว่ารักเธอ

ก็อยากให้รู้ว่านับตั้งแต่วันนั้นทุกวินาทีของฉัน
บอกกับฉันว่าโลกนี้มีเธออยู่
เพราะฉันไม่เคยรู้สึก อะไรมากมายเท่านี้
ก็อยากให้รู้แม้จะอยู่ห่างไกลถึงแม้จะอยู่ตรงไหน
ถ้าโลกนี้นั้นมีแค่ใครสักคนหนึ่ง ให้คิดถึงกันทุกวัน
จะทำให้หมดคำถาม …ตลอดไป

อยู่ด้วยกัน และอยู่ข้างข้างกัน บนโลกใบนี้
อยู่ด้วยกัน และอยู่ข้างข้างกัน

3.
ได้อ่านเรื่องราวความรักของ ‘ตาลอบ’ กับ ‘ยายทอง’
ในนิตยสาร ค.คน ที่ ปองธรรม สุทธิสาคร เขียน
แล้วชวนให้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราจำรายละเอียด
เกี่ยวกับเรื่องราวความรักของเราได้มาก-น้อยแค่ไหนกัน?

เราเจอกันครั้งแรกที่ไหน?
เราพูดกับเธอครั้งแรกว่าอะไร?
แล้วเธอตอบกลับมาว่าอะไร?
แล้วเมื่อไหร่ วินาทีไหน ในวันไหน ในห้วงเวลาไหน
ที่ความสัมพันธ์ในระดับชอบพอมันกลายร่างไปเป็นความรู้สึกว่า รัก
วินาทีไหนที่เรารู้สึกแล้วว่า ‘โลกนี้มีเธออยู่’

เฮ้ย! โลกนี้มีคนคนนี้ด้วยว่ะ!
และหลังจากวันนั้น คนคนนี้ก็วนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่ในโลกของเราตลอด

วันเวลาเหล่านั้นอาจผ่านมานาน หรืออาจผ่านมาไม่นานเท่าไหร่
แต่การได้มานั่งคุยกันถึงวันที่ได้เจอกัน วันที่จับมือกัน
วันที่ตกลงกันว่าโลกของฉันจะเปิดประตูให้เธอเดินเข้ามา
ก็น่าจะทำให้ความสัมพันธ์ที่เริ่มคลายตัวกลับมากระชับแน่นยิ่งขึ้น

หนังตลกที่ดูแล้วน้ำตาไหลไหล่โยกเรื่องหนึ่งที่เราชอบมาก
คือเรื่อง Fifty First Dates เรื่องราวของหญิงสาวที่เป็นโรคความจำเสื่อม
เธอจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างหมดสิ้นเมื่อนอนหลับ และแฟนหนุ่มของเธอ
ต้องพยายามทำให้เธอรักเขาใหม่ทุกครั้งที่เธอตื่นขึ้นมา

บางที วิธีรักษาความรักเอาไว้
อาจจะเป็นการเริ่มต้นความรักครั้งใหม่ทุกวัน

เราเองก็เคยทำอะไรทำนองนั้น แม้จะไม่ทุกวัน แต่ก็ทุกปี
ในวันคล้ายวันแรกที่เราได้เจอกัน เมื่อวันนั้นมาถึงในทุกปี
เราจะนัดไปเจอกันที่เดิมที่เราเจอกันครั้งแรก
ในเวลาเดิม และทำในสิ่งเดิมๆ กันที่นั่น

จริงๆ แล้วเราก็ความจำเสื่อมกันทั้งนั้น
พอเวลาผ่านไป ก็ลืมไปเสียสนิทว่า
เคยมีช่วงเวลาดีๆ ด้วยกันอย่างไรบ้าง
จะมีสักกี่คู่ที่ร่วมมือกันสร้างเรื่องราวดีๆ
เหมือนเมื่อ ‘ครั้งแรก’ ขึ้นอีกซ้ำๆ

4.
ยายทองเป็นอัมพาต
“ยายเขาทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากลืมตากับอ้าปากร้องไห้
บางทีก็ร้องแต่เสียง บางทีก็ร้องแบบมีน้ำตา เขาพูดกับตาไม่ได้
อย่าว่าแต่สักประโยคเลย สักคำเขาก็พูดไม่ได้ ได้แต่ร้องอยู่อย่างนั้น”

ถึงจะรักยายทองแค่ไหน แต่ตาลอบก็ต้องทำให้ยายร้องไห้ทุกวัน
เพื่อกระตุ้นให้ยายตื่นตัว วันไหนที่ยายไม่ร้อง ตาก็จะตบเอวเบาๆ
ให้แกร้องไห้ออกมา

สิบสองปีที่เป็นอัมพาต ตาดูแลยายทุกวันโดยไม่มีเทศกาลวาเลนไทน์
ตาเข้าใจยายมากกว่าใครทั้งสิ้น มากกว่าพยาบาลผู้เชี่ยวชาญการดูแล
“กับคนไข้คนอื่นมันอาจจะใช้ได้ แต่กับยายอะไรที่เป็นสารเคมีจะใช้ไม่ได้เลย
ต้องเป็นน้ำเปล่าทั้งหมด เวลาที่ตาซักผ้าห่มหรือถุงปูรองก้นก็จะซักด้วยน้ำเปล่า
ทั้งหมด ไม่เคยใช้ผงซักฟอกหรือน้ำยาปรับผ้านุ่ม ถ้าใช้แล้วยายจะแพ้
ผิวจะขึ้นผื่น” รายละเอียดแบบนี้มีแต่คนที่รักเราเท่านั้นแหละที่จะใส่ใจ

แม้ยายจะขยับตัวไม่ได้ นั่งไม่ได้
แต่ตาลอบก็ยังอุตส่าห์ทำ ‘รถเตียง’ ขึ้นมาเพื่อพายายไปเที่ยว
‘รถเตียง’ มีหน้าตาเหมือนเตียงที่ถูกต่อเชื่อมกับจักรยาน
ใช้แรงปั่นจากกล้ามเนื้อน่องกับกล้ามเนื้อหัวใจของตาลอบในการขับเคลื่อน

“พาไปเที่ยววัดป่ากลางที่เราเคยคุยกันครั้งแรก หรือไม่ก็ที่ที่เราเคยไปด้วยกัน
ตอนยังหนุ่มยังสาว อย่างเวลาไปถึงวัดป่ากลาง ตาก็จะบอกกับยายว่า
‘นี่เรามาถึงวัดป่ากลางแล้วนะ ที่ที่เราเคยคุยกันครั้งแรกน่ะ เธอจำได้ไหม
ที่ฉันรอเธอรำวงเสร็จแล้วกลับบ้านพร้อมกันไง’ เราก็จะพูดให้แกฟังในทุกๆ ที่
ที่พาไปว่าเราเคยทำอะไรด้วยกันบ้าง”

“เวลามาที่อย่างนี้มันทำให้เรารู้สึกอบอุ่น เหมือนได้กลับมาเห็นภาพเก่าๆ
เห็นความรักของเราในอดีตอีกครั้งหนึ่ง บางทีตาก็ต้องคอยปลอบยาย
เพราะเขาจะร้องไห้เวลาที่ไปที่เก่าๆ แบบนี้ แต่ทุกครั้งที่ไป เวลากลับบ้านมา
แกก็จะหลับสบายนะ ตาว่าแกคงอิ่มใจที่ได้ไปเห็น ได้ไปเที่ยว”

เป็นไปได้ไหมว่า
สิ่งที่เป็นพลังให้คุณตาลอบดูแลคุณยายทองมาเป็นเวลาสิบสองปีนั้น
คือความรักตั้งแต่ในวันที่ทั้งคู่ตกลงกันว่า ‘โลกนี้มีเธออยู่’
คือภาพความสุขขณะที่ทั้งคู่เริ่มรักกัน คือช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด
ของคนสองคน

น้อยนัก ที่เราจะได้พบเห็นคู่รักที่เก็บความรู้สึกดีๆ ในวันนั้น
ได้ยาวนานถึงเพียงนี้ และถ้าความรู้สึกดีๆ ช่วงนั้นสามารถ
เรียกให้หวนกลับคืนมาได้บ่อยๆ ก็น่าจะช่วยยืดอายุในการรักษา
ความรักเอาไว้ให้ยาวนานยิ่งขึ้น

คงจะดี ถ้าเรามี ‘ครั้งแรก’ ได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก

5.
วันที่จับมือกัน เธอกับฉันนั้นลืมบ้างไหมว่าเมื่อไหร่
จำอะไรได้บ้างไหม ว่าสุดท้ายอะไรที่ทำให้ได้พบกัน
แล้วใครรักใครก่อน ไม่รู้ว่าเรารักกันเมื่อไหร่

ยังจำได้ไหม?
ถ้าจำไม่ได้ เรียก ‘คนนั้น’ มาช่วยกันนึกสิ.

เขียนหนังสือไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรนักหนาหรอก

มกราคม 31, 2007

1.
วันนี้เป็นวันดี
เพราะเป็นวันที่ได้มีโอกาสเจอพี่ชายดีๆ ตั้งสามคน
คนที่เคารพ นับถือ และเคยเห็นอยู่ห่างๆ
แต่ได้มานั่งตรงกันข้ามและพูดคุยด้วย
แลกเปลี่ยนและรับฟัง
มีแต่สิ่งดีๆ ไหลเข้าสู่รูหู
รู้สึกดีจัง

2.
กลางวัน เราถามพี่ชายคนหนึ่งว่า
“มีจุดประสงค์ในการเขียนหนังสือหรือเปล่าครับ?”
“จุดประสงค์ของพี่คืออะไร?”
พี่ชายตอบเสียงเรียบ
“ไม่มีหรอก”
“พี่เคยคิดว่าการเขียนหนังสือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่
เปลี่ยนแปลงโลกได้ แต่จริงๆ แล้วโลกไม่เคยเปลี่ยนแปลง
โลกยังคงเป็นแบบนั้นของมันอยู่ โลกจะมีเราหรือไม่มีเรา
มันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไหร่”

เราบอกกับเขาว่า
“ผมเคยฟังพี่พูด แล้วรู้สึกว่าไม่อยากมีชีวิตต่อ”
พี่ชายหัวเราะ
“มีชีวิตก็ดี ยังอยู่น่ะดี แต่ตายก็ได้ ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไร”
“ทุกวันนี้ก็ยังเขียนหนังสือ เขียนเหมือนหายใจ
เขียนเป็นปกติ พี่ไม่ได้คิดว่าการเขียนหนังสือมันยิ่งใหญ่อะไรแล้ว
ก็แค่เขียนไป เพราะยังมีชีวิตอยู่ ก็ทำงานกันไป”

3.
ตอนค่ำ ได้เจอพี่ชายที่เคารพอีกคน
หน้าตาผ่องใส มีความสุข รอยยิ้มติดอยู่บนหน้าตลอดเวลา
พี่ชายคนนี้เคยทุ่มเทให้กับการทำหนังสืออย่างมุ่งมั่น
มาถึงวันนี้ เขาแลดูผ่อนคลายเอามากๆ

ผ่อนคลายเหมือนละวางหลายอย่างได้แล้ว
แววตาแห่งความสุข ประโยคคำพูดแบบเข้าอกเข้าใจโลก
ถูกส่งผ่านสายตาและรูหูของเรา

จากภาพตรงหน้า เราสงสัยว่าพี่เขายังอยากทำอะไรอีก
“พี่ยังสนุกกับการเขียนหนังสืออยู่รึเปล่าครับ?”
“เฉยๆ นะ เขียนก็ได้ ไม่เขียนก็ได้”
“เขียนก็เขียนไป ไม่ได้รู้สึกว่าการเขียนหนังสือมันยิ่งใหญ่อะไร”

4.
เย็นวันนั้น ได้คุยกับพี่ชายอีกคนผ่านโปรแกรมเอ็มเอสเอ็น
เราถามไถ่ถึงทรรศนะเกี่ยวกับการเขียนในปริมาณมาก
“ถ้าสนุก มีแรงก็เขียนไป เขียนได้ ก็เขียนไปเถอะ”

5.
ดึกวันนี้ เดินสนทนากับพี่ชายอีกคน
เขาพูดลอยขึ้นกลางอากาศบนทางเดินรถไฟฟ้า
“ช่วงมีแรงเยอะก็เขียนไปเถอะ เดี๋ยวพอเขียนเยอะๆ เข้า
ก็จะอยากทำอย่างอื่น เดี๋ยวมันก็จะปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เอง”

เป็นพี่ชายที่เคารพนับถือทั้งสี่ท่าน
ขอบคุณมา ณ ที่นี้
ดีใจที่ได้พูดคุยและรับฟังคำของพี่ๆ

ยังสนุกกับการเขียน
และก็เป็นแค่คนหัดเขียนหนังสือคนหนึ่ง
ที่มีความสุขทุกครั้งที่ได้นั่งลงเขียนหนังสือ
เป็นแค่นั้นจริงๆ

อาจจะจริงอย่างที่ท่านพี่ทั้งสองได้บอกกล่าว
การเขียนหนังสือไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรนักหนาหรอก
อย่าคาดหวังอะไรจากการเขียนหนังสือของเรามากนักเลย
เราเขียนเพราะมีความสุข-ก็แค่นั้น.

ทำทุกวันให้เป็นงานศพ

มกราคม 19, 2007

1.
คุณมุกหอม วงษ์เทศ เคยให้ทรรศนะอันคมคายเกี่ยวกับ ‘คำนิยม’
ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากสำหรับหนังสือในยุคสมัยนี้ไว้ในหนังสือ
‘เล่นแร่แปรธาตุ’ ดังต่อไปนี้

วัฒนธรรมการเขียน “คำนิยม” นั้นดูจะไม่ปรากฏในหนังสือของฝรั่ง
ที่เราเอาอย่างซึ่งมีแต่ “คำนำ” อันเป็นชื่อที่ไม่ระบุ “คุณค่า”
…การชื่นชม ตำหนิ หรือวิพากษ์วิจารณ์ก็มักเขียนกันใน “คำนำ”
หรือ “บทนำ” ส่วนคำโปรยโฆษณามักจะคัดมาจากบทวิจารณ์หนังสือ
ที่ตีพิมพ์ไปแล้ว หรือคำชม/วิจารณ์ของ Readers ที่มีจรรยาบรรณ

ด้วยเหตุที่ไม่รู้กำพืดแน่ชัด ข้าพเจ้าจึงสันนิษฐาน อนุมานและเสี่ยงทายว่า
ประเพณีประดิษฐ์ของ “คำนิยม” นี้น่าจะมี สปิริตทางวัฒนธรรม
ร่วมกับหนังสือประเภทหนึ่ง นั่นคือ “หนังสือ (อนุสรณ์) งานศพ”

ข้อสังเกตของคุณมุกหอมเกิดขึ้นเพราะเห็นว่า หนังสืองานศพทุกวันนี้
มีวัตถุประสงค์ที่จะนำเสนอภาพประทับว่าผู้ตายเป็นคนดีบริสุทธิ์ผุดผ่อง
ปราศจากมลทิน ไร้เรื่องด่างพร้อย และเปี่ยมไปด้วยคุณงามความดี
ที่น่าอาลัยยิ่ง

ย่อหน้านี้ยิ่งขำ–
ผู้เขียนที่นิยมเสาะแสวงหา “คำนิยม” อย่างจริงใจและจริงจัง
อาจไม่อยากรอ หรือไม่หวังไปถึงหนังสืองานศพของตัวเอง
ที่ตัวเองไม่ได้ทำ และไม่ได้เห็น หรืออาจไม่มีใครทำให้

ตั้งแต่อ่านบทความนี้จบ เราก็ไม่ขอ ‘คำนิยม’ จากใครอีก
และเห็นว่าจะเป็นการดีกว่าถ้าขอ ‘คำนำ’ แทน
ไหนๆ เราก็ยังไม่ตาย และยังแก้ไขปรับปรุงตัวเองได้
คำวิจารณ์และแนะนำในแง่มุมต่างๆ จากบุคคลที่เราเคารพและชมชอบ
น่าจะเป็นประโยชน์กว่า ‘คำ’ ที่มีแต่ ‘นิยม’ อย่างเดียว

2.
เมื่อคืนก่อน นั่งอ่านนิตยสารจีเอ็ม ในส่วนจีเอ็ม คาเฟ่
เล่มนี้คุยกันในหัวข้อ ‘ชีวิตกับความตายและความหมาย
ของการดำรงอยู่’ อ่านๆ ไปก็มีบางวาบที่ ‘ปลง’ จนขี้เกียจ
จะหายใจต่อไป (บางที ‘ปลง’ มากไปก็ไม่ค่อยดี)

หลังภาคสนทนา มีบทสัมภาษณ์ของพี่คุ่น-ปราบดา หยุ่น
คำพูดบางประโยคชวนให้คิด
“…ผมจึงพยายามใช้ชีวิตอย่างปราศจากความแค้นเคือง
ความบาดหมางหรือความอึดอัดใจกับทุกคนที่ผมรักและเคารพ
ทุกทีที่ผมเจอใคร ในเวลาที่ต้องกล่าวคำอำลา ต้องยกมือไหว้
ผมอยากแน่ใจว่า ถ้ามีเหตุให้ไม่ได้เจอกันอีก มันจะเป็นการ
เจอกันครั้งสุดท้ายที่ดีเสมอ…”

อดขีดเส้นใต้ไม่ได้

ในส่วนบทสัมภาษณ์พี่โตมร ศุขปรีชา มีการพูดถึง
หนังสือที่เราได้อ่านเมื่อหลายปีก่อน
‘Tuesdays with Morrie’ เรื่องราวของครูมอร์รีที่รู้ตัวว่า
กำลังจะตาย จึงได้จัดงานศพของตัวเองขึ้นมาขณะยังมีชีวิต
และก็ตามแบบของงานศพฝรั่ง ที่จะมีการเอ่ยสรรเสริญ
คุณงามความดีของผู้ตายโดยญาติสนิทมิตรสหาย

เพียงแค่ว่างานนี้ ‘ผู้ตาย’ นั่งผึ่งหูฟังคำดีๆ เหล่านั้นอยู่ในงานด้วย

3.
เป็นสัจธรรมยิ่งกว่าสัจธรรม ที่เราไม่รู้ว่า ‘วันสุดท้าย’ ของใคร
จะเป็นวันไหน เวลาใด (เพราะเราไม่ใช่ยมทูตในเรื่อง Death Note)

ในแง่ของหนังสือ เราเห็นด้วยกับคุณมุกหอม ว่าไอ้ครั้นจะมา ‘นิยม’
กันนักหนามันก็แลดูฟูมฟาย และอวยกันเกินไปหน่อย

แต่ในของความสัมพันธ์ระหว่างคนที่ใกล้ชิดกัน
เราเห็นว่า น่าจะทำทุกวันให้เป็นงานศพ ไม่ใช่ในแง่ที่เศร้าใจ
แต่ในแง่งามแห่งความ ‘นิยม’ ซึ่งกันและกัน

แปลก-ที่คนเราชอบด่ากันตอนมีชีวิต และสรรเสริญกันในยาม
ที่คนคนนั้นไม่มีโอกาสได้ยินแล้ว

ถ้ารู้ว่าวันนี้ต้องเป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน
เราคงพูดจาในสิ่งที่ดีสำหรับอีกฝ่าย
ย่อมมิใช่ ‘คำนิยม’ ยกย้อป้อล้อที่ไม่จริงใจ
แต่เป็น ‘คำจริงใจ’ ทั้งหลายที่เรามักเขินอายที่จะพูดออกมา
และมักเก็บไว้พูดผ่านควันธูปแทน

ในเมื่อการเจอกันระหว่างเรากับคนคนนั้น
มีโอกาสเป็น ‘วันสุดท้าย’ ได้ทุกครั้ง
จะไม่เอ่ย ‘คำนิยม’ ให้ฟังกันหน่อยหรือ?

เมื่อเอาสิ่งที่ไม่ใช่ออกไปก็จะเหลือ

มกราคม 12, 2007

(วันนี้ยาวครับ เพลินไปหน่อย แหะแหะ)

1.
เราเป็นคนแต่งตัวจัด-จัดว่าแย่
คือแต่งตัวไม่เป็น แต่ไม่ได้หมายความว่าสวมเสื้อผ้าไม่เป็น
และเที่ยวเดินเล่นล่อนจ้อนโทงๆ ไปทั่วเมือง (โทงๆ นะ ไม่ใช่ โทงเทง!)
แต่แต่งไม่เป็นในแง่ที่ว่า แต่งให้ดูสวยดูงามไม่ค่อยเป็น
แต่ก็เคยชอบแต่ง เพราะคิดว่าการแต่งตัวก็คือการแสดงตัวตนแบบหนึ่ง

ตัวตนที่แตกต่าง

สมัยเรียนสถาปัตย์ เราภาคภูมิใจกับการเป็นคณะ ‘ไม่ผูกไท’ มากๆ
เพราะนิสิตปีหนึ่งไม่ว่าคณะไหนๆ ก็ต้องเอาผ้าเส้นๆ สีน้ำเงินรัดรอบคอ
แต่ขอโทษ-คณะเรา ถ้าผูกไทเดินเข้าไปในโรงอาหาร รุ่นพี่จะสั่งให้ถอดทันที
เป็นการแสดงตัวตนว่า ‘ฉันไม่ถูกผูกติดไว้กับกรอบ’ อะไรทำนองนั้น

ไม่เท่านั้น พอขึ้นปีสอง พี่น้องในคณะของเราก็ยิ่งหล่อหนัก
เพราะเป็นหนึ่งในคณะที่นิยมแต่งตัวแบบมี ‘สีสัน’
คณะอื่นแค่นุ่งกางเกงยีนส์ก็เท่แล้ว แต่คณะเรากางเกงยีนส์นี่ธรรมดามาก
จำได้ว่า วันแรกตอนปีสอง เราใส่ถุงเท้าสีแดงแจ๊ดไปเรียน
หนักข้อเข้า ก็เริ่มสั่งตัดกางเกงผ้าขาบาน เป็นทรงเฉพาะตัว ไม่มีขาย
(เพราะคงไม่มีใครใส่) กางเกงลายสก๊อตสีเขียวก็เคยนุ่งมาแล้ว (ไอ้บ้าเอ๊ย!)
ส่วนเสื้อเชิ้ตนั้นไม่ต้องห่วง เค้าชอบใส่แขนยาวกัน กูจะใส่แขนสั้นทุกตัว
สีขาวน่ะเหรอ อ่อนว่ะ! เสื้อทุกตัวต้องมีลาย เคยแขวนเสื้อลายสก๊อต
เต็มตู้เสื้อผ้าอยู่ช่วงหนึ่ง ใครมาแอบเปิดดู อาจนึกว่าเป็นตู้ของพี่เต๋า สมชาย!

ชอบนักแหละ อะไรที่ไม่ธรรมดาน่ะ ขอข้าแต่ง

พอเริ่มเข้าทำงาน นึกว่าเป็นครีเอทีฟต้องแต่งตัวแรงๆ
แต่ก็อย่างว่า ด้วยความแต่งไม่เป็น (แต่กระแดะอยากแต่ง)
ก็เคยใส่รองเท้าสีฟ้า เสื้อสีส้ม ไปทำงาน
มันก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร อย่างน้อยก็เลือกสีจากทฤษฎีที่เรียนมา
แต่เมื่อมันมาอยู่บนตัวเราแล้วมันเหมือนนักบอลจาไมก้ายังไงชอบกล

หลังจากดิ้นรนอยู่สอง-สามนาน เมื่อเห็นว่าไปไม่รอด
จึงหันมาสอดตัวเข้าไปในเสื้อยืดไม่มีลาย กางเกงยีนส์ทรงปกติ
และรองเท้าผ้าใบสีดำ เพราะเห็นว่า พยายามไปก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น
แถมยังทรมานตัวเองและผู้พบเห็นเปล่าๆ

แปลกดี ที่ยิ่งแต่งก็ยิ่งชอบ

2.
เห็นแต่งตัวจัดว่าแย่แบบนี้ แต่เราก็เรียนออกแบบมานะ
ที่จบออกมาแล้วจะได้รับการเรียกขาน
ด้วยนามเพราะๆ ว่า ‘ดีไซเนอร์’ นั่นแหละ

สมัยเรียนออกแบบในปีท้ายๆ
ขณะที่เพื่อนหมกมุ่นอ่านหนังสือทฤษฎีและความคิด
ของเหล่านักออกแบบเก๋ๆ ทั้งหลาย เราดันอกหักก็เลยหันมาติดใจ
ในรสพระธรรมจากหนังสือพุทธศาสนาอยู่ช่วงหนึ่ง

ค่อนข้างรู้สึกว่า มันอยู่คนละด้านกับสิ่งที่ร่ำเรียนมา
เพราะพุทธศาสนาใส่ใจกับ ‘แก่น’ มากกว่า ‘เปลือก’
และเริ่มรู้สึกว่า เรากำลังเรียนให้เป็นนักผลิตเปลือกอยู่

เคยคุยกับเพื่อนว่า “อาชีพพวกเรานี่มันสร้างสิ่งรุงรังให้กับโลกจริงๆ ว่ะ”
และพวกเราก็มักจะพูดกันบ่อยๆ ว่า “หากเกิดสงครามขึ้นมา
มนุษย์ที่ไม่จำเป็นที่สุดก็คือไอ้พวกนักออกแบบนี่แหละ”
เพราะโลกจะต้องการความงามก็ต่อเมื่อมนุษย์มีปัจจัยพื้นฐานครบสมบูรณ์

ตอนนั้นเรามองนักออกแบบเป็นแค่อาชีพที่สร้างความสวยงาม
สร้าง ‘เปลือก’ สวยๆ ไว้หุ้มห่อ ‘แก่น’
(ทั้งที่จริงๆ แล้ว แนวความคิดในการออกแบบนั้นมีมากมายนัก)

ช่วงฟุ้งซ่านมากๆ ยังเคยยกมือถามอาจารย์ว่า
“เราจำเป็นต้องดีไซน์เก้าอี้ใหม่ด้วยเหรอครับ ในเมื่อไอ้สี่ขาที่มีอยู่
มันก็ผลิตง่าย และนั่งได้สบายอยู่แล้ว”

แนวความคิดในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่นั้น ต้องเริ่มจากการมองหา
‘ปัญหา’ ในสิ่งที่มีอยู่ แล้ว ‘ปรับปรุง’ สิ่งนั้นๆ ใหม่จนกว่าเราจะพอใจกับมัน
ผลลัพธ์คือสิ่งของใหม่-เป็นการแก้ที่ ‘ข้างนอก’

ขณะที่บางแนวคิดจากโลกฝั่งตะวันออก กลับมอง ‘ปัญหา’ ว่ามันเกิดจากตัวเรา
วิธีแก้คือ ‘ปรับ’ ความคิดและใจของเราให้เข้าใจมัน ให้พอใจกับมันให้ได้
ผลลัพธ์คือจิตใจที่เปลี่ยนไป-เป็นการแก้ที่ ‘ข้างใน’

การพัฒนาสิ่งใหม่ กับ ความพอใจในสิ่งที่มี จึงเป็นสองวิถีที่ทำให้เราสับสน

3.
องค์ประกอบในงานโฆษณา แบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ๆ
ตามภาษานักโฆษณาเค้าเรียกกันว่า Idea และ Execution

Idea คือ แก่นแกนความคิดหรือแก่นของ ‘สาร’ ที่ต้องจะสื่อออกไป
Execution คือ วิธีการนำเสนอ

ด้วยความที่โฆษณามีเวลาน้อย วิธีการนำเสนอจึงไม่ควรมากวนไอเดีย
เพราะหากใส่รายละเอียดฟูมฟาย สารที่ต้องการจะสื่อก็จะเบลอไปหมด
โฆษณาที่ดี จึงเป็น โฆษณาที่มีไอเดียชัดๆ และไม่รก

สมมุติลองเทียบกันระหว่าง Copy สองชิ้นในงานโฆษณา เช่น
ซักผ้าขาวหมดจด
กับ
ซักผ้าข๊าวขาวหมดโจ๊ดหมดจดสามสิบกะละมังก็ยังขาวไม่มีเทาปะปน
ผ้าไม่ขึ้นขนเหมือนจั๊กกะแร้เด็กที่นมเพิ่งแตกพานสำราญกับราคาใหม่
ที่ลดลงไปตั้งสิบบาทผ้าไม่ขาดเพราะมีน้ำยาถนอมผ้าหอมเหมือนอาม่า
เพิ่งฉีดสเปรย์กลบกลิ่นเต่าดมแล้วไม่เหงาสามีรักสามีหลงแถมฟรี
ตุ๊กตาหมีข้างกล่อง

อันหลังก็ฟังมันส์ดี แต่ไม่รู้ว่าคุณพี่เค้าจะบอกอะไรกันแน่
ใครจะไปจำได้ บอกอย่างเดียวชัดๆ ดีกว่า เวลายิ่งจำกัดอยู่

ไม่มีใครเปิดทีวีเพื่อดูโฆษณา
ไม่มีใครซื้อแมกกาซีนมาเพื่ออ่านหน้าโฆษณา
ไม่มีใครเปิดวิทยุเพื่อรอฟังสปอต
ไม่มีใครขับรถบนถนนเพื่อไล่ชมบิลบอร์ด
โฆษณาที่ดีจึงต้อง สั้น ชัด ง่าย ทำงานกับสมองผู้อ่านอย่างเร็ว

เล่ามาตั้งยาว ก็เพราะนึกถึงพี่ครีเอทีฟคนหนึ่งที่เคยเล่านิทานให้ฟัง
“ฝรั่งคนนึงไปเที่ยวที่ประเทศอินเดีย ไปเจอคนอินเดียนั่งแกะขอนไม้
เป็นรูปช้างอย่างเหมือน ฝรั่งคนนั้นทึ่งมากๆ ก็เลยเดินไปดูใกล้ๆ
แล้วเอ่ยปากชมว่า ทำได้ยังไงน่ะ แกะไม้ให้เป็นช้าง”

พี่แขกที่นั่งแกะอยู่เงยหน้าขึ้นมาหาพี่หัวทอง ตอบหน้าตาเฉย
“จะไปยากอะไรล่ะอีนี่นายจ๋า ก็แค่แกะไอ้ส่วนที่ไม่ใช่ช้างออกไปเท่านั้นเอง”

พี่ตบท้าย “ไอเดียในงานโฆษณาก็เหมือนกัน
ถ้าเราเอาสิ่งที่ไม่ใช่สาระสำคัญออกไปให้หมด สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือไอเดีย”

4.
อ่านสัมภาษณ์ Masanobu Furuta – Senior Managing Director
แห่งบริษัท Ryohin Keikaku ผู้ผลิตแบรนด์ดีไซน์เรียบง่ายชื่อดังอย่าง MUJI
ใน Wallpaper* เล่มใหม่แล้วชอบใจจังครับ

(MUJI เป็นแบรนด์ขายของที่มีดีไซน์แบบพอดี ของแต่ละชิ้นแทบไม่มีส่วนเกิน
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมานั้นมีประโยชน์ใช้สอยทั้งสิ้น)

ขออนุญาตคัดมาแบ่งกันอ่านดังต่อไปนี้

ถาม: รู้สึกอย่างไรที่ความเรียบง่ายของ MUJI ได้สร้างความเป็นแบรนด์ขึ้นมา
และเป็นจุดแข็งที่สำคัญของแบรนด์?

ตอบ: เป็นคำถามที่ตอบค่อนข้างยาก เพราะเมื่อตอนเริ่มต้นนั้นเราไม่ได้คิดว่า
จะสร้างแบรนด์เพื่อจะหากำไรจากตัวแบรนด์ เราเพียงมีความคิดที่อยากจะผลิต
สินค้าที่มีราคาสมเหตุสมผลและเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใช้

ถาม: คิดว่า MUJI ได้สร้างเทรนด์หรือแฟชั่นของความเรียบง่ายขึ้นมาหรือไม่?
ตอบ: เราไม่ได้คิดเรื่องแฟชั่นหรือคิดว่าจะเป็นผู้นำแฟชั่น แค่คิดว่าจะต้องทำ
สิ่งที่มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่สะดวก แต่ถ้าจะมีดีไซน์อะไรเพื่อให้ผู้ใช้สบายตา
ก็เป็นส่วนประกอบเท่านั้น ถ้าหากเราไปเน้นที่เรื่องดีไซน์เป็นอันดับแรก
มันจะทำให้เกิดส่วนที่ไม่จำเป็น ทำให้เกิดความเปล่าประโยชน์ตามมา
เป็นสิ่งฟุ่มเฟือยและทำให้สินค้าราคาแพงเกินไป

ถาม: คุณรู้สึกอย่างไร ถ้าหากว่า MUJI สามารถสร้างปรากฏการณ์ความฮิต
ขึ้นมาได้โดยเฉพาะกลางหมู่วัยรุ่นคนไทยที่กำลังคลั่งไคล้ความเป็นญี่ปุ่นอย่างหนัก?

ตอบ: MUJI ต้องยอมรับตามตรงว่าเราคงไม่ค่อยดีใจเท่าไรนัก หากเราได้รับ
การตอบรับด้วยการมีเรื่องของเทรนด์ กระแส มาเป็นเหตุผล เพราะเรา
อยากให้คนชอบ MIJI ที่เนื้อแท้ของมัน คือความเรียบง่ายและประโยชน์ใช้สอย
ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นเราคงจะดีใจมากกว่า

เป็นคำตอบที่เราชอบมากๆ
เราว่า Fashion อายุสั้น แต่ Function อายุยืน

แทนที่จะดีไซน์ ‘เปลือก’ MUJI กลับดีไซน์ที่ ‘แก่น’

อ้อ! ยังเหลืออีกหนึ่งคำถาม
ถาม: ในเรื่องของการดีไซน์เป็นเรื่องยากแค่ไหนที่จะต้องสร้างสิ่งใหม่ๆ
บนความเบสิกเรียบง่าย?

ตอบ: หลักการของเราคือการเลือกวัตถุดิบว่าจะต้องมีคุณภาพและสมราคา
จะต้องลดขั้นตอนการผลิตให้สิ้นเปลืองน้อยที่สุด และตัดทอนความฟุ่มเฟือย
ของแพคเกจจิ้งออกไป ซึ่งเมื่อเราตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นทุกอย่างออก
มันก็จะเกิดความเรียบง่ายที่อยู่ได้นานที่สุด และเมื่อบวกกระบวนการนี้เข้าไป
ในการดีไซน์ก็จะทำให้สามารถสร้างสิ่งใหม่ๆ ออกมาได้เรื่อยๆ

ทันทีทันใด ช้างไม้, เสื้อไม่มีลาย และคำถามเก้าอี้สี่ขาก็แว้บขึ้นมาในหัว
แทนที่จะ ‘แต่งเติม’ MUJI พัฒนาสิ่งใหม่ด้วยการ ‘ตัดออก’

อดทบทวนพฤติกรรมการแต่งตัวของตัวเองในอดีตไม่ได้
อดคิดไม่ได้ว่า ไอ้ที่แต่งๆ ให้แปลกนั้น จริงๆ ก็แค่อยากแตกต่าง
อยากหนีไปจากความธรรมดาที่คนอื่นเค้าแต่งกัน
โดยที่ลืมไปว่า ยิ่งวันยิ่งหนีไกลออกไปจากตัวเองขึ้นเรื่อยๆ
และก็ไม่รู้ว่าจะหนีไปไหน หนีไปถึงเมื่อไหร่?

หากเปรียบเป็นงานโฆษณา
ก็เป็นชิ้นงานที่หวือหวาแต่ไม่รู้ว่า ‘เนื้อหาสำคัญ’ คืออะไรกันแน่

แน่นอน-ย่อมมีบางคนที่ชอบและสนุกกับการแต่งตัว
การแต่งตัวจัดๆ ก็เป็นตัวตนของใครคนนั้น
‘ช้าง’ ของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน
แต่คนที่พยายามเติม ‘ช้าง’ ของตัวเองให้เป็นอย่างอื่นนั้น-น่าเหนื่อย
เพราะยิ่งเติมเปลือก ก็ยิ่งไม่เจอ ‘ช้าง’
ยังไม่ต้องนับการวิ่งตามแฟชั่นที่ถูกกำหนดมาโดยคนอื่นอีก

เราว่า ‘ช้าง’ ไม่มีแฟชั่น
จะกี่ปีกี่วัน ‘ช้าง’ ก็เป็นของมันแบบนี้

หาอยากรู้ว่า ‘ช้าง’ ของเราหน้าตาเป็นแบบไหน
วิธีการที่ใช้ไม่น่าจะเป็นการ ‘ใส่เพิ่ม’ หากแต่คือการ ‘แกะออก’
แกะส่วนที่ไม่ใช่ ‘ช้าง’.

ชีวิตคนเราต้องลงวินโดวส์ใหม่อีกกี่ครั้ง?

มกราคม 10, 2007

(บ่นกับตัวเอง)

ต้องลงวินโดวส์ใหม่อีกแล้ว!
โดนไวรัสอีกแล้ว!
เฮ้อ! เซ็งสุดๆ

ลงแต่ละทีก็เสียเวลาไม่ใช่น้อยๆ
เพราะต้องลงโปรแกรมใหม่ทั้งหมด
จัดระบบการทำงาน
ตั้งค่าทุกอย่างใหม่หมด

แต่โชคดีที่ครั้งนี้ไม่มีข้อมูลสูญหาย

เคยทำ ‘ข้อมูล’ หายไปด้วยความอ่อนด้อยเรื่องคอมพ์
ดันเก็บ ‘ข้อมูล’ ไว้ในไดรฟ์ซี
ไดรฟ์เดียวกับวินโดวส์
พอโดนไวรัส ต้องลบวินโดวส์
‘ข้อมูล’ พวกนั้นก็เลยถูกลบไปด้วย!
ลบทิ้งไปแบบไม่มีวันที่จะตามล่ากลับคืนมาได้
หายไปตลอดกาล

หลังจากนั้นถึงได้เรียนรู้ว่า
เราสามารถลบวินโดวส์ทิ้งไป
แต่เก็บสิ่งที่เคยทำร่วมกับวินโดวส์เก่านั้นไว้ได้
ด้วยวิธีแยกไดรฟ์ในการเก็บ

นับแต่นั้นก็เริ่มดูแล ‘ข้อมูลสำคัญ’ ของตัวเองให้ดี
เก็บไว้ให้ไกลจากไวรัส
เก็บไว้คนละไดรฟ์กับวินโดวส์
คราวนี้ถ้ามีไวรัสเข้ามาทาง ‘หน้าต่าง’
ก็พร้อมที่จะจัดการกำจัดมันไปพร้อมๆ กับหน้าต่างบานนั้น
แล้วติดตั้งหน้าต่างบานใหม่
เพื่อเปิดอ้ารอไวรัสตัวใหม่เข้ามา
แล้วก็เปลี่ยนทิ้ง แล้วก็เปิดอ้า แล้วก็เปลี่ยนทิ้ง

น่าเบื่อ แต่ก็ต้องทำ

โลกนอกหน้าต่างมีสิ่งดีๆ รออยู่ ต้องเปิดออกไปรับเข้ามา
แต่ก็อย่างว่า ก็ต้องยอมเสี่ยงที่จะรับเชื้อร้ายติดไม้ติดมือกลับมาด้วย

ถ้าจะเปรียบไป ฮาร์ดดิสก์ก็ใกล้เคียงกับสมอง
โปรแกรมและข้อมูลทั้งหลายก็คล้ายๆ ความทรงจำ

ข้อมูลที่ไม่สำคัญเราก็เลือกลบมันทิ้งไป
ข้อมูลสำคัญก็เก็บไว้ลึกๆ (ป้องกันคนมาแอบเปิดดูเล่น)
เก็บไว้เปิดดูเองตอนดึกๆ

บางครั้ง กระบวนการ ‘การลบ’ ของสมอง
ก็ทำงานคล้ายคอมพิวเตอร์ ที่มี Recycle Bin
เผลอลบทิ้งไป แต่เปลี่ยนใจ ก็ Restore กลับคืนมาได้

แต่บางที เราก็อยากลบข้อมูลบางอย่างทิ้งไปแบบถาวร
แต่ขอโทษ ลบไม่หมดหรอก!

คอมพ์กับสมองอาจต่างกันตรงนี้
ต่างกันตรงที่ไอ้เรื่องที่อยากลบทิ้งไป มันมักจะติดแน่นคงทน
แต่ไอ้เรื่องที่อยากเก็บเอาไว้ มันกลับหายไปซะเฉยๆ

ใช่-เราเลือก ‘save’ เลือก ‘delete’ ความทรงจำไม่ได้หรอก
สมองจะสั่งการเองโดยอัตโนมัติ

ไวรัสร้ายที่เข้ามาในสมองจึงไม่ได้กำจัดง่ายๆ เหมือนในคอมพ์
ที่ลงวินโดวส์ใหม่ แล้วไวรัสก็หายไป
แต่กลับต้องใช้วิธี ‘น้ำดีไล่น้ำเสีย’
เติมความทรงจำดีๆ มาผลักมาไล่ความทรงจำร้ายๆ ให้หายไป
ฮาร์ดดิสก์มีความจุจำกัด สมองคนเราก็มีพื้นที่จำกัดในการจำ
ถ้าเราจำเรื่องดีไว้มาก เรื่องร้ายก็จะน้อยลง

แต่ก็นั่นแหละ เราเลือกจำได้ด้วยหรือ?

หากเปรียบฮาร์ดดิสก์เป็นสมอง
โปรแกรมวินโดวส์ที่มีโปรแกรม Internet Explorer
ก็เหมือน ‘หน้าต่าง’ ที่จะเปิดออกไปสู่โลกใบกว้าง
โลกใบกว้างที่มีทั้งสิ่งดีและสิ่งร้าย
มีทั้งข้อมูลดีๆ ที่ควรเก็บมาเป็นความทรงจำ
แต่ก็แน่นอน-ต้องยอมเสี่ยงที่จะมีไวรัสร้ายติดเข้าสมองมาด้วย

โชคร้าย ที่สมองไม่มีโปรแกรม ‘แอนตี้ไวรัส’
จึงยากที่จะป้องกัน
แถมบางครั้งก็ดูไม่ออก
ตอนแรกก็ดีๆ อยู่ เวลาผ่านไปดันกลายร่างเป็นไวรัสไปซะได้

ไวรัสความทรงจำก็ฤทธิ์ร้ายไม่แพ้ไวรัสคอมพิวเตอร์
ดีไม่ดีจะร้ายกว่าด้วยซ้ำไป
เพราะเมื่อไหร่ที่มันเริ่มเข้ามาในสมอง
มันจะเริ่มกัดกิน ยึด+กลืนพื้นที่ส่วนความทรงจำดีๆ
แถมยังทำให้ระบบความคิดรวน
ประมวลอะไรออกมาเป็นแง่ร้ายไปเสียหมด

ก็เหมือนกับคอมพ์
ยิ่งกำจัดไวรัสในสมองออกไปไวเท่าไหร่
ระบบชีวิต ความคิด และจิตใจก็จะกลับคืนสู่
สภาวะทำงานปกติได้ไวเท่านั้น

ยิ่งทิ้งไว้นานยิ่งแย่
ข้อมูลดีๆ จะถูกกลืนหายไปหมด

ถึงร้ายแต่ก็ต้องเสี่ยง
เพราะหากไม่เปิด ‘หน้าต่าง’ ออกไปหาโลกภายนอก
ก็คงไม่มีโอกาสได้เจออะไรดีๆ ที่มีอยู่ในโลกใบนั้น
หากไม่เปิด ‘หน้าต่าง’ ของห้องสี่ห้องใต้นมข้างซ้าย
ก็คงไม่มีโอกาสได้เจอคนใหม่ๆ ที่จะมาสร้าง
ความทรงจำ(ข้อมูล)ดีๆ ให้เก็บไว้และให้หยิบออกมาชื่นชม

ถึงจะกลัวไวรัส เบื่อที่ต้องลงวินโดวส์ใหม่
แต่ก็ต้องเปิดออกไปหาโลกใบนั้น
ทุกคนก็คงโดนไวรัสกันมาแล้วทั้งนั้นล่ะมั้ง

ถ้าโดน ก็ลงวินโดวส์ใหม่ เริ่มกันใหม่อีกที
ไม่รู้เหมือนกันว่า ชีวิตนี้ต้องทำแบบนี้กี่ครั้ง?

เราอาจเกิดมาเพื่อหาวินโดวส์ที่ช่วยป้องกันเราจากไวรัสก็ได้
วินโดวส์ที่เชื่อใจได้ ว่าจะไม่ปล่อยให้ไวรัสเข้ามาทำร้ายสมองของเรา

แต่ระหว่างที่กำลังคลำหา ‘วินโดวส์’ ที่ว่า
อาจมีสิ่งสำคัญหนึ่งอย่างที่เราต้องทำและจำไว้ให้ดี
เราควรจะเก็บ ‘ข้อมูลสำคัญ’ ไว้ในที่ที่ปลอดภัย
เก็บไว้คนละไดรฟ์กับวินโดวส์

เพราะหากวันหนึ่งเกิดโชคร้าย
วินโดวส์ตัวนั้นดันปล่อยให้ไวรัสเข้ามาทำลายสมอง
และเราต้องจัดการกับมัน
อย่างน้อย ‘ข้อมูลสำคัญ’ ก็ยังอยู่ครบ.

เพื่อนและไอพ็อด

มกราคม 5, 2007

1.
เราไม่ได้นั่งคุยกันแบบปะทะสายตาซึ่งๆ หน้ากันแบบนี้นานพอดู
แต่ความนานนั้นก็ไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกเขินอาย
หรือก่อกำแพงน้ำแข็งให้ต้องมานั่งละลายมันก่อนที่จะเอ่ยคำพูด
เจอปุ๊บก็คุยปั๊บ-คุยกันได้สนุกสนานและสนิทสนมเหมือนเพิ่งเจอกันเมื่อวาน
เหมือนเราได้เจอกันทุกวัน

ระยะห่างระหว่างกรุงเทพฯ กับ ซานฟรานซิสโก อาจหดเหลือแค่หน้าจอมอนิเตอร์กั้น
หากเราได้โปรยตัวหนังสือใส่กันผ่านโปรแกรมเอ็มเอสเอ็น
แต่การณ์กลับมิเป็นเช่นนั้น เราเจอกันจำนวนนับครั้งได้ในโลกไซเบอร์
และใช่ว่าเมื่อได้เจอกัน เราจะส่งตัวหนังสือมาทักทายอีกฝ่าย
บางที การกระเด้งขึ้นมาของสถานะ ‘ออนเอ็ม’ ก็ทำหน้าที่แค่บอกอีกฝ่ายว่า
‘กูยังมีชีวิต’ แล้วต่างฝ่ายก็ลงมือทำกิจกรรมของตัวเองต่อไป

ถึงแม้มีบางโอกาสที่ได้ส่งตัวหนังสือแลกเปลี่ยนถามไถ่กันบ้าง
แต่ยังไงยังไง การสื่อสารที่เชื่อมความรู้สึกถึงกันอย่างสมบูรณ์นั้น
ก็ยังต้องการ ‘การสบตา’ อยู่ วันยันค่ำ

แต่-เฮ้ย! ไม่ได้หมายความว่าเราจะสบตากันเพื่อดื่มด่ำรสหวานจากอีกฝ่าย!
แค่รู้สึกว่า การสบตาเพื่อนมันทำให้เราได้สบใจไปด้วย

2.
ในระยะห่างของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนผู้ชาย
ไม่เจอก็ได้ แต่เจอก็ดี
หมายความว่าเราไม่ได้ต้องการการพบปะเจอหน้ากันบ่อยๆ
แต่เมื่อไหร่ที่เจอเราก็รู้สึกเฮฮา ลามก สกปรก สนุกสนาน
เหมือนเมื่อครั้งยังร่ำเรียนด้วยกันอยู่

สำหรับเพื่อนบางคน มั่นใจได้ในความสนุกและเฮฮา
แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่เราจะมั่นใจได้ว่าเราสามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง
ไม่เพียงสนุกสนาน เพื่อนจำพวกหลังยังพร้อมจะนั่งฟังความทุกข์
เรื่องที่คิดไม่ตก เรื่องเศร้า เรื่องที่เราล้มเหลว เรื่องที่เราไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง
รวมไปถึงการแบ่งปันความคิดอย่างเปิดใจโดยที่ทั้งสองฝ่ายรู้ว่า
ความเกรงใจมิใช่สิ่งจำเป็นสำหรับ ‘เพื่อนอย่างเรา’

ห่วยก็ว่าห่วย-ซัดกันตรงๆ

ในจำนวนเพื่อนมากมายที่ร่วมหัวเราะไปด้วยกัน
มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เราจะเลือกให้มันมานั่งชมเราหลั่งน้ำตาโชว์
ไม่กี่คนที่เรากล้าด่ามันเต็มๆ ปาก และอยากฟังมันด่าให้เต็มสองรูหู
เพราะรู้ว่าคำด่าเหล่านั้นล้วนแปรรูปออกมาจากเจตนาดี

ในจำนวนเพื่อนมากมายที่นั่งล้อมวงพ่นเรื่องชวนหัว
มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เรากล้าเล่าความฝันปัญญาอ่อนให้มันฟัง
และมั่นใจว่ามันจะไม่เอ่ยประโยคกระด้างๆ ออกมาสกัดกั้นความฝันของเรา
และแน่นอน เรายินดีเงี่ยหูฟังความฝันของมันเสมอ
ในจังหวะที่ใครสักคนเผลอ เรามักแอบเติมกำลังใจให้กันระหว่างนั้น

ในจำนวนเพื่อนมากมายที่นั่งส่งเสียงดังรอบขวดเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์
มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เราจะกล้าเล่าเรื่องราวแย่ๆ ที่ได้กระทำลงไป
โดยมั่นใจได้เลยว่ามันจะไม่เอาไปเล่าต่อให้ชาวบ้านได้หัวเราะเยาะเย้ย
ในวงเหล้าที่ไม่มีเรานั่งอยู่

ในจำนวนเพื่อนมากมาย
มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เราพร้อมร่วมเดินทางไปกับมัน ขอแค่มันเอ่ยปากชวน
เรื่อง ‘ที่หมาย’ เดี๋ยวค่อยไปบอกกันระหว่างทางก็ได้

ในจำนวนเพื่อนมากมาย มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

3.
เรานั่งคุยกับเพื่อนเก่าจนเวลาเลยล่วงไปถึงวันใหม่
เวลาผ่านไปไวกว่านั่งดูพี่หม่ำหกล้มหน้าคว่ำในรายการชิงร้อยชิงล้านเสียอีก
ผลัดกันเล่าเรื่องตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ที่นั่นและที่นี่
เรื่องราวที่ขาดหายไปในชีวิต ก็ค่อยๆ ปะติดปะต่อ
ถักทอเป็นโครงคร่าวๆ ของภาพชีวิตขนาดใหญ่ที่ประกอบขึ้นจาก
จิ๊กซอว์ตัวเล็กๆ จำนวนมหาศาล

พอจะเห็นภาพสิ่งที่ต่างฝ่ายได้ผ่านมันมาในช่วงเวลาที่แยกย้ายกันไป

การ ‘อัพเดต’ ชีวิตและประสบการณ์ของกันและกันน่าจะสำคัญ
สำหรับความสัมพันธ์ของเพื่อนในระยะยาว ไม่ใช่แค่จะได้คุยกันรู้เรื่อง
แต่ยังหมายถึงจะได้ค่อยๆ มองเห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิต
และความคิดในกะโหลก

รับรู้เพื่อตั้งรับ

คนเราเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพื่อนกันก็น่าจะรับรู้ความเปลี่ยนแปลงนั้น
จะได้ตั้งตัวทันกับสิ่งที่เพื่อนเปลี่ยนไป ค่อยๆ เข้าใจและเรียนรู้
ดีกว่าที่จะมารู้สึกตัวอีกทีแล้วพบว่า ‘เฮ้ย! มึงคนเก่าหายไปไหน’

แหม…เพื่อนนะ-ไม่ใช่หุ่นขี้ผึ้งจะได้หยุดชีวิตอยู่กับที่!

เราคุยกันสารพัดเรื่อง ตั้งแต่ใหญ่ไล่ไปเล็ก
ช่วงท้ายๆ ใกล้ดึก เราถามเพื่อนถึงเครื่องเก็บเพลงที่มีชื่อว่า ไอพ็อด
ด้วยความล้าสมัย เราปรึกษามันว่า
หากอยากซื้อ ควรจะซื้อเครื่องที่มีความจุเท่าไหร่?

เพราะเท่าที่ดูมา ขนาดแปดกิ๊กฯ ราคาประมาณเก้าพันกว่าบาท
ขณะที่ขนาดสามสิบกิ๊กฯ ราคาแค่หมื่นนิดๆ (ไม่ได้หมายความว่าถูก
แต่หมายถึงว่า มันแพงกว่าไอ้แปดกิ๊กฯ แค่นิดเดียวเอง)

เพื่อนแนะนำให้ซื้อแบบสามสิบกิ๊กฯ
เราถามต่อว่า “แล้วแบบหกสิบกิ๊กฯ ล่ะ เอาไว้ดูหนังได้ด้วยใช่มั้ย?”
เพื่อนบอก “เอาแค่สามสิบกิ๊กฯ ก็ฟังไม่หมดแล้ว ไอ้หนังน่ะ
แรกๆ ก็เห่อดูอยู่หรอก แต่พอนานๆ ไปก็ไม่ได้ใช้เลย”

เพื่อนยังบอกอีกว่า ตั้งแต่ไปที่นู่นก็ฟังเพลงเยอะขึ้น หลากหลายขึ้น
มีเพลงในเครื่องมากขึ้นเยอะ ฟังจนจำชื่อเพลงชื่อศิลปินไม่ได้

ฟังแล้วเรายิ้ม
ตัดสินใจกับตัวเองว่า ถ้าจะซื้อ มากสุดก็แค่สามสิบกิ๊กฯ ก็น่าจะล้นเกิน

เราว่าเพลงก็เหมือนเพื่อน
ไอพ็อดก็เหมือนหัวใจ

มีเพลงมากไปก็ใช่ว่าจะดี
ใจที่ใหญ่เกินไปก็ใช่ว่าจะเป็นใจที่มีคุณภาพ

เรามักมีนิสัยฟังเพลงซ้ำไปซ้ำมา
อยากใส่ใจกับมัน อยากตั้งใจฟังเนื้อเพลง อยากจำหน้าตาศิลปินได้
เราอยากมีเพลงโปรด เราไม่ได้อยากมีเพลงเยอะ.

เมื่อวานนี้ คุณส่งข้อความอะไร ถึงใครบ้าง?

มกราคม 1, 2007

(ตั้งใจจะแต่งกลอนปีใหม่ส่งถึงเพื่อนบ้านทุกท่าน
แต่ดันมีเหตุการณ์น่าหดหู่เกิดขึ้น จนทำให้วันปีใหม่ธรรมดาๆ
กลายเป็นวันที่รู้สึกอะไรขึ้นมามากกว่าเดิม
จึงขอเลื่อนกลอนไปเป็นปีหน้า เอ๊ย! วันหน้าแทนครับ)

1.
เมื่อวาน (สามสิบเอ็ด ธันวา สี่เก้า) เราอยู่นอกบ้านทั้งวัน
ไม่ได้หมายความว่ารดน้ำต้นไม้ เล่นกะหมา หรือล้างรถอยู่นอกบ้าน
แต่หมายถึงออกไปข้างนอกกับครอบครัวตลอดทั้งวัน
ตั้งแต่ตอนสายๆ ออกไปหาอะไรอร่อยๆ กินตามประสาครอบครัวไทย
ที่หนึ่งในความสุขใจก็คือความสุขที่สัมผัสได้ด้วยลิ้น (และผนังพุง)

ระหว่างทาง ทุกคนในรถสีดำคันเล็กก็เพลิดเพลินไปกับเพลงจีนรวมฮิตชุดใหม่
ที่พี่สาวเพิ่งเอามาอวด ทั้งเปาบุ้นจิ้น, เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้, เถียนมี่มี่
มันใหม่ตรงไหน? ตอบ: มันใหม่ตรงที่เพิ่งซื้อ!

นั่นหมายความว่า ย่อมไม่มีข่าวคราวใดจะไหลเข้าสู่รูหูของเราทั้งสี่
สภาพกรุงเทพฯ วันส่งท้ายปี สงบและสนุกสนานดีในความรับรู้ของพวกเรา
กระทั่งถึงที่รับประทานอาหาร ระหว่างที่กำลังนั่งเอนหลังผึ่งพุงอยู่นั่นเอง
โทรศัพท์ของพี่สาวก็ดังขึ้นแหวกเสียงรินน้ำของบริกรหนุ่ม
ทันทีที่วางสาย ตาของเธอเบิกโพลง หันมาบอกพวกเราทั้งโต๊ะว่า
“มีระเบิดสิบจุดทั่วกรุงเทพฯ ระเบิดไปแล้วสอง!”
เรานึกในใจว่า-ล้อเล่นกันรึเปล่า?
ทันทีที่นึกเสร็จ โต๊ะข้างๆ ก็หันหน้ามาบอกว่า
“เพื่อนก็โทรมาบอกเหมือนกัน เห็นบอกว่า
ที่แยกแครายเพิ่งระเบิดไปอีกจุด”
–อะไรวะนี่?–

ระหว่างที่กำลังมึนงงกับข้อมูลข่าวสาร โทรศัพท์ของเราก็สั่น
ในนั้นมีข้อความจากเพื่อนสาวร่วมออฟฟิศ-See iTV now, there are
bombs for 10 places in bkk. หลังจากนั้นไม่นานเพื่อนสาวคนนี้ก็ส่ง
ข้อความมาอีกครั้ง-Enjoy and celebrate New Year safely na.
There are bombs around bkk. Take care n’ be careful.

เหตุการณ์ครั้งนี้ชวนให้เราคิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้น–สิบเก้า กันยาฯ

2.
ขณะที่นั่งอ่านหนังสือเงียบๆ อยู่ในห้อง ไม่รับรู้ข่าวสารโลก
มีพี่ที่ทำงานโทรมาถามว่า “มึงอยู่ไหน อย่าออกนอกบ้านนะเว้ย
รถถังวิ่งเต็มกรุงเทพฯ เลย” ไม่ทันวางสายก็มีสายซ้อนจากที่บ้าน
“กลับถึงบ้านรึยัง เค้าปฏิวัติกันนะ” หลังจากนั้นก็มีข้อความสั้นส่งเข้ามายัง
โทรศัพท์มือถือหลายข้อความ ทั้งเพื่อนๆ และพี่ๆ

เราเองเริ่มส่งข้อความและโทรไปหาคนที่คิดว่าจะยังไม่กลับบ้าน
เพื่อสอบถามและบอกกล่าว เพื่อนสาวคนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น

วันนั้นเราบอกเธอ และวันนี้เธอบอกเรา

3.
ขณะที่กำลังนั่งกินข้าวต่อไปแบบหัวใจเต้นไม่ค่อยปกติ
โทรศัพท์ยังคงดังและสั่น ทั้งจากข้อความสั้นและการโทรเข้า
ทั้งจากข้อความอวยพรและข้อความเตือนภัย

ในจำนวนนั้นมีอยู่หนึ่งสายที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะโทรมา-เป็นพี่ชายคนหนึ่ง
เค้าโทรมาด้วยน้ำเสียงห่วงใย เป็นห่วง เพราะรู้ว่าเราชอบไปชุมนุมอยู่ใน
สถานที่ที่มีเหตุการณ์น่าสนใจและชอบรวมหมู่ไปดูผู้คน
พี่ชายเกรงว่า เราจะไปรวมตัวเค้าน์ดาวน์หน้าห้างฯ เซ็นทรัลเวิลด์
เกรงว่าเราจะยังไม่รู้ข่าว พี่ชายคนนี้เราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน
แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ชวนให้รู้สึกซึ้งใจในความห่วงใยที่ไม่ต้องสังเกตก็จับได้
จากน้ำเสียง

การได้รู้ว่ามีคนเป็นห่วงนับเป็นความรู้สึกที่ดีเอามากๆ ยิ่งเป็นคนที่เกินคาดว่า
เค้าจะเป็นห่วงเรา คนที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเราอยู่ในบัญชีรายชื่อบุคคลที่
เค้าใส่ใจ ก็ยิ่งรู้สึกว่า เราน่าจะเปิดอ้ารับเค้าเข้ามาในบัญชีรายชื่อของเราเช่นกัน

เช่นกันกับเพื่อนสาวคนนั้น
ที่ก่อนหน้านี้เราไม่เคยพูดจาผ่านโทรศัพท์กันนอกจากเรื่องงาน
แต่ตอนนี้มีอีกเรื่องนอกเหนือจากงานที่เราส่งผ่านทางสายโทรศัพท์
–เรื่องของความห่วงใย–

4.
เป็นปกติที่วันส่งท้ายปี กระทั่งล่วงเลยมาถึงวันปีใหม่
ทุกคนคงจะรับ-ส่งข้อความสั้นเกี่ยวกับ ‘ความสุข’ ผ่านมือถือ
กันอย่างอลหม่าน แต่เมื่อวานเหตุการณ์ไม่ปกตินัก
เราจึงได้รับและส่งข้อความสั้นทั้งสองแบบ
‘ความสุข’ และ ‘ความห่วงใย’

เราเป็นคนนิสัยเสียเรื่องการส่งข้อความมานานเนิ่น
ไม่เคยมาตั้งหน้าตั้งตาส่งให้ใครสักที สักปี สักเทศกาล
หากเป็นฟุตบอล เรามักเลือกเล่นเกมรับ และรอโต้กลับในจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอ
จึงได้แต่นั่งตั้งรับข้อความ และคิดแผนโต้กลับใส่ทุกคนที่บุกมา คนละแบบ
เลือกให้เหมาะสมกับคนคนนั้น พร้อมทั้งจารึกชื่อผู้รับแนบกลับไปด้วย
จะได้เป็นข้อความ ‘เฉพาะ’ ของเธอและเขา

เมื่อวานนี้ก็ทำไปตามนิสัยดั้งเดิม–
เพื่อนๆ พี่ๆ ที่ส่งความสุขมาก็ได้รับการตอบโต้กลับไปอย่างสาสม
แต่ในจำนวนนั้น มีบางคนที่ไม่ได้ส่งข้อความมา
กลับเป็นเราต่างหากที่ส่งข้อความไป ไม่ใช่ข้อความแห่งความสุข
แต่เป็นข้อความแห่งความห่วงใย ห่วงว่าเค้าจะพบกับเรื่องรุนแรง

เมื่อวานนี้จึงมีข้อความสองแบบ
ส่งความสุข
ส่งความห่วงใย
ซึ่งไม่ว่าแบบไหน ‘ผู้รับ’ ก็คงรู้สึกดี
แต่เราเองนั้นค่อนข้างรู้สึกกับแบบหลังมากกว่า

อาจเป็นเพราะว่า
เวลาเราอยากให้ผู้คนที่ใกล้ชิดมีความสุข เรามักนึกหน้าของพวกเค้าแบบรวมๆ
แต่เวลาเราเป็นห่วงใคร เรามักเห็นใบหน้าของพวกเค้าแว้บขึ้นมาทีละคน
(ในจำนวนแค่ไม่กี่คนเท่านั้น) เมื่อมีเหตุการณ์น่าเป็นห่วงเกิดขึ้น
โดยไม่ตั้งใจ, เราจะได้คำตอบของคำถามที่ไม่เคยสนใจและไม่เคยคิดถึง
ในห้วงยามปกติ

คำถามที่ว่า–ในช่วงเวลาที่น่าเป็นห่วงเป็นใย
ใคร คือคนแรกที่เราคิดถึง?
ใคร คือคนที่เราคิดถึงบ้าง?
และ-ใครบ้างที่คิดถึงเรา?

แอบอุ่น

ธันวาคม 27, 2006

1.
เผลอแผลบเดียวเหมือนเอาลิ้นเลียริมฝีปาก
เราอยู่คนเดียวในห้องเล็กๆ ที่บรรจุรวมกับห้องเล็กๆ อีกหลายร้อยห้อง
มาเป็นเวลาเกือบสองปีแล้ว ความรู้สึกของคนที่นอนกอดความอบอุ่น
ในบ้านมาตลอดยี่สิบกว่าปี มีพี่ มีพ่อ มีแม่ รอยิ้มรับตอนกลับบ้าน
เปลี่ยนเป็นการเปิดประตูห้องเข้าไปเพื่อพบกับความเงียบ
บางทีก็ เงียบสงบ บางครั้งก็ เงียบเหงา – แล้วแต่อารมณ์ของวัน

คอนโดฯ โดยทั่วไป(หมายถึงที่ไม่ได้หรูหราอลังการอะไรนัก)
มักมีลักษณะการออกแบบคล้ายคลึงกัน คือ เป็นห้องเดี่ยวๆ ให้ชีวิตเดี่ยวๆ
ได้หายใจอยู่ในนั้นแบบต่างคนต่างอยู่ มีพื้นที่ส่วนกลางที่เปิดโอกาส
ให้คนร่วมชุมชนมาแบ่งปันชีวิต พูดคุย แลกเปลี่ยน หรือกระทั่งเปิดโอกาส
ให้เส้นทางของแต่ละคนได้มีโอกาสมาเดินตัดกันน้อยยิ่งกว่าน้อย
และโดยเจตนาแล้วก็ไม่มีความต้องการจะให้คนเหล่านั้นพบปะกันสักเท่าไหร่

(แน่อยู่แล้ว คอนโดฯ ส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณที่ดินราคาแพง
จะมาแบ่งพื้นที่ให้กับการพบปะสังสรรค์กันทำไม แบ่งไปก็ไม่ได้ตังค์
เอามากั้นห้องสร้างตึกเยอะๆ ใหญ่ๆ คุ้มกว่า)

จึงมีพื้นที่เพียงไม่กี่ส่วนเท่านั้นแหละที่คนร่วมคอนโดฯ จะได้จ้องตากัน
ที่จอดรถ, ในลิฟต์, ร้านขายของ, ร้านซักผ้า
หากหรูหราหน่อยก็อาจจะมีสระว่ายน้ำหรือฟิตเนส
แต่ก็เป็นการจ้องตากัน แล้วก็หลบตากันไปแบบเขินๆ
คำพูดคุยสั้นๆ แค่ ‘สวัสดีครับ/ค่ะ’ ก็ยังไม่ถูกเอ่ยออกมา
กระทั่งยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากก็ยากที่จะหยิบยื่นให้กัน

ชุมชนในคอนโดฯ จึงเป็นชุมชนที่มีความ ‘หนาแน่น’ สูง (คนเยอะในพื้นที่แคบ)
แต่กลับไม่มีความ ‘แนบแน่น’ เลยแม้แต่น้อย
นั่นย่อมหมายถึง เป็นชุมชนที่ไม่มี ‘พลัง’ ด้วย
ไม่ว่าพลังในการร่วมกันทำสิ่งที่ดี หรือร่วมกันต่อต้านสิ่งที่ไม่ดีก็ตาม

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เพราะคนที่เลือกอยู่คอนโดฯ ชอบอยู่แบบ ‘อย่ามายุ่งกะกู’
หรือตัวคอนโดฯ กันแน่ที่ทำให้คนที่อยู่อาศัยรู้สึกว่า ‘อย่าไปยุ่งกะมัน’

2.
บอร์ดส่วนกลาง เป็นพื้นที่เล็กๆ ที่ชาวคอนโดฯ จะร่วมรับรู้ข่าวสารร่วมกัน
โดยมากมักจะเป็นข่าวสารจากส่วนกลาง(นิติบุคคล)
บอกเรื่องน้ำ ไฟ ขยะ จิปาถะทั่วไป อาจมีการทวงหนี้(ประจาน)บ้าง
สำหรับห้องที่ติดค้างชำระนานไปหน่อย แต่น้อยยิ่งกว่าน้อย
ที่เราจะเห็น ‘ข้อความ’ ที่ส่งจากชาวคอนโดฯ ผู้โดดเดี่ยว
ถึงชาวคอนโดฯ ผู้รักชีวิตแบบตัวใครตัวมันคนอื่นๆ ร่วมตึก

กระทั่งวันนั้น เราได้เห็นโปสเตอร์สีแดง-ดำขรึมเข้มเอาจริงเอาจัง
มีการจัดวางตัวหนังสือและเลือก Typeface มาอย่างดี ติดอยู่ที่บอร์ด
ความ ‘มีดีไซน์’ ของมันกระโดดเตะเข้าที่ตาของทุกคนที่เดินผ่าน
รวมทั้งตาตี่ๆ ของเราด้วย ข้อความจริงจังพอๆ กับดีไซน์เขียนว่า

‘พวกเราไม่ได้เสียเงินซื้อบ้าน เพื่อที่จะมีอาคารจอดรถสูงโด่มาบดบังทัศนวิสัย
ได้โปรดเหลือพื้นที่โล่งๆ ให้เราได้มองเห็นวิวและได้หายใจหายคอกันบ้างเถิด’

โดยมีข้อความเล็กๆ ด้านล่าง เขียนไว้ทำนองว่า
‘ร่วมกันคัดค้านการก่อสร้างอาคารจอดรถสูงหลังตึกเรา’

จะมีการสร้างอาคารจอดรถหรือ?
เราเพิ่งรู้จากโปสเตอร์แผ่นนี้นี่แหละ

สำหรับเรา เราว่ามันเป็นแผ่นกระดาษที่มีพลังมาก มีพลังในการสร้างอารมณ์ร่วม
ของคนในชุมชนเดียวกัน(ที่อยู่กันแบบต่างคนต่างอยู่มาตลอด)ให้มาร่วมกันต่อต้าน
สิ่งที่ไม่ค่อยชอบมาพากล และได้ร่วมตะโกนเสียงเบาๆ ของเราออกไปพร้อมกัน
แน่นอนว่ามันต้องดังขึ้น และอาจดังไปถึงหูของผู้เกี่ยวข้อง

เป็นพื้นที่ประชาธิปไตยเล็กๆ ที่เราไม่เคยเห็นในคอนโดฯ

เรายังคาดหวังที่จะเห็นการรวมตัวกันของคนในคอนโดฯ
เพื่อแสดงออกถึงความคิดเห็นที่ไม่เคยมีใครได้พูดออกมา
ความคิดเห็นที่ทุกคนอาจคิดเหมือนๆ กัน
แต่ก็ได้แต่เก็บมันไว้เงียบๆ คนเดียวในห้องเล็กๆ
ที่ถูกผนังกั้นความเป็นเพื่อนมนุษย์ของเราทุกคนออกจากกัน

อยากเห็นชุมชนที่ ‘หนาแน่น’ มา ‘แนบแน่น’ กันสักครั้ง

แต่ความคาดหวังของเราก็หายไปพร้อมกับกระดาษแผ่นนั้น ในวันรุ่งขึ้น
พื้นที่ประชาธิปไตยที่พยายามต่อรองคัดง้างกับอำนาจมักอยู่ไม่ได้นาน

3.
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น เราก็ไม่ได้คิดถึงการรวมตัว
ไม่ต้องนับไปถึงรวมใจกันของผู้คนที่อยู่ปะปนในตึกเดียวกันอีกเลย
เราได้แต่เดินขึ้นห้อง กดลิฟต์เปิดเพื่อรอเพื่อนร่วมตึกบางคน
บางทีเค้าก็เปิดรอเราบ้าง เราต่างยิ้มให้กัน และเอ่ยคำสั้นๆ ว่า ‘ขอบคุณ’
ก็แค่นั้น เราไม่มีอะไรที่จะพูดจาแบ่งปันกันได้

กระทั่งเมื่อวาน วันธรรมดาๆ หลังวันพิเศษที่มีลุงแก่เครายาว
หอบหิ้วของขวัญมาแบ่งปันคนอื่น เป็นวันหนึ่งในฤดูหนาวที่อากาศเย็น
ทำหน้าที่ของมันตามเวรยามแห่งฤดูกาล เราใช้คีย์การ์ดเปิดประตูเข้ามา
เหมือนทุกวัน และก็พบถุงผ้าใบใหญ่ตั้งอยู่หน้าห้องแรกที่เปิดเข้ามาเจอ
ตั้งอยู่หน้าลิฟต์ ทุกคนที่เดินเข้ามาก็คงเห็นและสะดุดตา
ด้วยว่า ตามกฎกติกาของคอนโดฯ แล้ว เจ้าของห้องไม่สามารถนำสิ่งของมาวางเกะกะ
บริเวณทางเดินอันแสนแคบนั้น เกรงว่าจะเดินสวนกันไม่ได้ แต่นี่เป็นถุงขนาดใหญ่!

หรือตาลุงซานต้าลืมทิ้งไว้?

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ จึงเห็นกระดาษแผ่นเล็กๆ ติดอยู่บนถุงนั้น
ตัวหนังสือเขียนด้วยลายมือ(น่าจะเป็นหญิงสาว) เส้นสายจากปากกาลูกลื่นสีน้ำเงิน
ลากเป็นประโยคว่า ‘ช่วยกันแบ่งปันเสื้อผ้าไปบริจาคเด็กดอย’
พร้อมกับลงชื่อเบอร์ห้องกำกับไว้

ช่างเข้ากันกับฤดูกาลแห่งการให้-แบ่งปันความอบอุ่นในฤดูหนาว

ถุงผ้าใบนี้ไม่ต่างอะไรกับภาพต้นไม้ต้นเล็กๆ ที่พยายามดิ้นรนผลิใบสีเขียว
อยู่ในซอกคอนกรีตในเมืองใหญ่, ไม่ต่างอะไรกับหยดน้ำเล็กๆ ที่หยดลงบน
ใจแห้งๆ แข็งๆ ของคนที่อยู่อาศัยแบบตัวใครตัวมันในคอนโดฯ เหงาๆ อย่างเรา
และอาจจะอีกหลายคนในตึกแห่งนี้

เราเดินเข้าไปชะโงกดูซิบที่เปิดอ้าไว้ เห็นเสื้อผ้ามากมายอยู่ในถุงใบนั้น
ภาพบางภาพเกิดขึ้นในหัว เป็นภาพคนต่างห้องที่ไม่รู้จักกัน
เดินเอาเสื้อผ้ามาหย่อนลงในถุงทีละคน ทีละคน โดยไม่ได้เจอหน้ากัน
หรืออาจเจอกันและก็เพียงส่งยิ้มให้แก้เขิน

โดยไม่รู้ตัว เรายิ้ม

เราเดินขึ้นห้องตามปกติ ที่ไม่ปกติก็คือ ปาก
ที่พยายามท่องเบอร์ห้องในกระดาษแผ่นนั้นในใจ
อยากเห็นหน้าเจ้าของลายมือน่ารักนั้นสักครั้ง
เราอาจเคยเดินสวนกันใช่ไหม?