บนโต๊ะอาหาร
หญิงสองคนนั่งฝั่งนึง ชายสามคนนั่งอีกฝั่งนึง
เราอยู่กลางระหว่างเพื่อนสนิทสองคน – ธี กับ ผี
(ผี คือชื่อเพื่อน ยังไม่ตาย มิใช่วิญญาณ)
ผู้หญิงสองคนตรงหน้าผ่านการจีบจากไอ้ธีมาแล้วทั้งคู่
แห้วทั้งคู่
หนึ่งในนั้น เราเคยจีบ(เกือบติด-แปลว่าไม่ติด!)
วันนี้เรามานั่งหัวเราะเฮฮาร่วมโต๊ะเดียวกันในฐานะ ‘เพื่อน’
ทั้งห้าคนเป็น ‘เพื่อน’ กัน – เพื่อนมัธยมที่นานน้านจะเจอกันที
และหัวข้อที่ลอยอยู่บนปลากระพงย่างเกลือ,
คอหมูย่าง, ขาหมูทอด และผัดผัดกาดแก้ว นั้น
ล้วนแล้วแต่ข้องเกี่ยวกับเรื่องราวของ ‘เพื่อน’
หลายเรื่องที่ชวนให้ประหลาดใจ
เพื่อนคนนึงที่ตัดผมถูกระเบียบติดหนังหัวตลอดเวลา
ดึงกางเกงสูงจนต้องลุ้นแทนมันว่าจะเป็นไข่ดันรึเปล่า
ถุงเท้าที่พี่แกก็ดึงจนแทบจะหุ้มหัวเข่า รักไม่ยุ่งมุ่งแต่เรียน
จริงๆ ต้องเรียกว่า รักไม่ยุ่งมุ่งแต่ธรรมะ
พวกเราขนานนามมันว่า หลวงพี่เก๊กโต
ข่าวล่าสุดคือ หลวงพี่แต่งงานแล้ว!
คอหมูย่างแทบพุ่งออกจากปาก!
ด้วยเพราะผู้ชายหน้าตาดีอย่างพวกเราบนโต๊ะยังไม่ไปถึงไหน!!
ไฉนหลวงพี่ผู้ถูกระเบียบเรียบร้อย
จึงสอยสาวไปครองเรือนก่อนใครเพื่อนซะงั้น!
(ตกใจจริงๆ สังเกตจากจำนวนเครื่องหมายตกใจได้)
เพื่อนอีกคนชื่อ บอม
สมัยมัธยมตัวล่ำบึ๊ก หุ่มเหมาะแก่การยกหามข้าวสารและถุงปูน
หน้าตาหล่อแบบไทยสมัยสี่สิบปีก่อน สมัยนี้จึงดูเหมือนข้ามเวลามาหล่อ
บอมเป็นคนกล้ามใหญ่ ราวกับมันเล่นกล้ามมาตั้งแต่ในท้องแม่
แขนมันหุบไม่ได้ เดินไปไหนมาไหนต้องกางแขน
เพราะกล้ามจั๊กกะแร้ของมันล่ำมาก! (ไม่ควรพามันไปเดินแผนกเครื่องแก้ว)
เพื่อนบางคนนิยมเรียกมันสั้นๆ ว่า “ไอ้ล่ำ”
ในชั้นปีเราจะมีอีกหนึ่งบอม บอมนี้หล่อ พ่อรวย
ต่างจากไอ้บอมของเราราวกับเมฆขาวกับโคลนตม
บอมหลังจะถูกเรียกว่า “บอมเมือง”
ไอ้บอมของพวกเราถูกขนานนามอย่างน่าภาคภูมิว่า “บอมป่า”
ถึงบอมจะไม่เห็นด้วยกับชื่อ “บอมป่า” แต่มันก็ก้มหน้าก้มตายอมรับนามนั้น
บอมเป็นเพื่อนที่จริงใจกับเพื่อนมากๆ คนนึง ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับป่ารึเปล่า?
เพราะถึงยังไง อะไรที่เป็น ‘ป่า’ ย่อมบริสุทธิ์ใจกว่าอะไรที่เป็น ‘เมือง’ อยู่แล้ว
ข่าวล่า! เพื่อนในโต๊ะบอกว่า บอมเมืองตอนนี้หมดหล่อหัวเถิกหน้าเปลี่ยนไปแล้ว
ไม่ค่อยตกใจ แต่สะใจ เวลาเห็นใครเคยหล่อแล้วไม่หล่อย่อมสะใจเป็นธรรมดา
เพราะสมัยนั้นใครจีบหญิงแข่งกับไอ้บอมเมืองเป็นต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่าทุกราย
แหม…ก็พี่เค้าทั้งหล่อทั้งรวย จำได้ว่า ซีรี่ย์เจ็ดมารับมันกลับบ้านทุกวัน
ส่วนไอ้บอมป่าต้องเดินนั่งรถกะป้อออกไปต่อรถเมล์
ด้วยเหตุนี้เราจึงคบบอมป่า โดยซ่อนเหตุผลที่แท้จริงไว้
ก็คือ บอมเมืองมันไม่คบโลโซแบบพวกเราร้อก!
ข่าวที่น่าตกใจกว่าข่าวบอมเมือง คือ ตอนนี้ไอ้บอมป่าเป็นสจ๊วต!!!
(อยากใส่เครื่องหมายตกใจสักร้อยตัว!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!)
ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน
โอกาส 0.000000000000001%
แต่มันก็เป็นไปแล้ว!
นั่งฟังอีกหลายความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเพื่อน
ทั้งฮา ทั้งประหลาดใจ
ชีวิตเพื่อนเป็นอะไรที่น่าติดตาม ถามถึงแต่ละคนก็มีอันต้องขำ
เลยเล่าสารคดีชุด 7 Up – 49 Up ให้เพื่อนฟัง
ทุกคนสนใจ
เห็นเรื่องไอ้สองบอมและหลวงพี่เก๊กโตแล้วอยากทำหนังจังแฮะ
เหลียวมามองคนบนโต๊ะ
หญิงที่เราเคยจีบก็เติบโตไปเป็นนักบัญชีผู้ดูภูมิฐาน
เพื่อนหญิงอีกคนที่เคยนิสัยดียังไงก็นิสัยดีแบบนั้น
ตอนนี้ก็กลายเป็นนักวิจัยอยู่กระทรวงวิทยาศาสตร์ไปแล้ว
เพื่อนอีกสองรายที่นั่งขนานข้าง เรียนวิศวะตามความฝัน
หนึ่งในนั้นเป็นวิศวกรด้านปิโตรเลียม
อีกหนึ่ง, เบื่อชีวิตวิศวกร ผันตัวเองไปเป็นนักการตลาด
ไอ้เราถูกเพื่อนๆ ด่าว่า หัวศิลป์ ทั้งที่แต่ก่อนมันก็ศิลป์พอๆ กัน
“มุมมองถาปัดกับวิศวะแม่งต่างกันคนละขั้วจริงๆ ว่ะ”
ไอ้ธีพูดขึ้นมา หลังจากได้แสดงทรรศนะแลกกันไปหลายเรื่อง
แปลกดี-เพื่อนๆ ที่เรียนวิศวะ แรกๆ ที่พวกเราเข้ามหาวิทยาลัย
แล้วมารวมหัวเจอตัวกัน เรามักจะรู้สึกว่าพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง
เพราะ ‘คณะ’ ทำให้เราแต่ละคนเปลี่ยนไป
บางคนบอกว่า ‘คณะ’ ทำให้ตัวตนที่เคยเป็นอยู่ถูกเหลาให้ชัดเจนขึ้น
แต่มาถึงวันนี้ เรากลับนั่งฟังความเห็นคนละขั้วได้อย่างสนุก
และก็รู้สึกว่าต่างเปิดมุมมองให้กัน ได้เห็นโลกในอีกมุม
ได้คิดในอีกแบบ ไม่เถียงกันแล้ว มีแต่พยักหน้า…
ไม่ได้เห็นด้วยหรอก แต่ยอมรับในความคิดเห็นของเพื่อน
และไม่ได้เห็นความจำเป็นว่าเราจะต้องคิดตรงกัน
ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องไปโน้มน้าวให้อีกฝ่ายคิดแบบเรา
ในจำนวนห้าคน บ้างเปลี่ยน บ้างไม่เปลี่ยน
ถามตัวเองว่า หากมาเจอเพื่อนหญิงที่เคยจีบ ณ ตอนนี้
เราจะยังดำเนินการแบบเดิมรึเปล่า? ตอบตัวเองว่า-ไม่แน่ใจ
มิใช่เธอไม่น่ารัก เปล่า, แต่เธอดูอยู่คนละทิศละทางกับเรามากกว่า
“เป็นเพื่อนกันนี่แหละ คบกันได้ตลอดชีวิต”
เพื่อนสาวคนนี้เองที่เคยบอกกับเราแบบนั้น ในวันที่ปฏิเสธ
ถึงทุกวันนี้ สิบกว่าปีมาแล้วที่เราเป็นเพื่อนกัน
และยังนั่งกินคอหมูย่างด้วยกันอยู่
ต่างจากอีกคนที่เราเคยใกล้ชิด ที่ต้องห่างกันไป
และไม่ได้ติดตามข่าวของกันและกันอีกเลย
สิ่งมีชีวิตมีลักษณะสองประการที่พอจะคิดออก
หนึ่ง, คือต้องเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการไปตามสถานการณ์
และสภาพแวดล้อม (ภูมิอากาศ, ภูมิประเทศ, สถานศึกษา,
หน้าที่การงาน และประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต)
สอง, คือสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้
สิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวได้จะอยู่รอดปลอดภัยและมีความสุข
ก็เพราะเราคือสิ่งมีชีวิต
เราต่างเป็นสิ่งมีชีวิต
เราจึงต้องเปลี่ยนแปลง
และโชคดี ที่เรามีความสามารถในการปรับตัว
ไม่ใช่ปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงของตัวเองอย่างเดียว
การปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของคนที่เรา(เคย)รู้จัก
ก็สำคัญไม่น้อยไม่กว่ากันเลย.