Archive for กุมภาพันธ์ 3rd, 2007

เพราะความอ่อนแอของเจ้าของบ้าน

กุมภาพันธ์ 3, 2007

จริงๆ แล้วบ้านหลังนี้ไม่มีตัวตน ไม่ได้ปักเสาเข็มลงดิน
มันลอยห้อยฝากไว้กับอากาศ ล่องหน ไม่เห็น ถ้าไม่มอง
แต่มาเยี่ยมกันได้ ง่ายๆ แค่กระดิกนิ้วประตูบ้านก็เปิดแล้ว

บ้านที่น่าอยู่ น่าจะมีห้องรับแขกที่น่านั่ง
ห้องรับแขกที่น่านั่ง ย่อมทำให้บรรยากาศดี
และเมื่อบรรยากาศดี การพูดคุยสนุกสนานย่อมเกิดขึ้น

ตอนเรียนสถาปัตย์ เราเป็นคนหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับ
‘พื้นที่ส่วนสาธารณะ’ มากกว่า ‘พื้นที่ส่วนตัว’
ห้องนอนเล็กได้ ร้อนได้ แต่ห้องรับแขกต้องอยู่ในทิศทางที่ดี วิวสวย
ไม่ได้อยากโชว์ความสวยให้แขกดู แต่อยากให้แขกยิ้มแย้ม
เมื่อแขกยิ้ม แขกชอบ แขกก็จะมาเยี่ยมอีก

แขก ก็คือ เพื่อนน่ะแหละ
มีเพื่อนมาเยี่ยมก็หายเหงา

บ้านที่มีคนมาเยี่ยมบ่อยๆ คนในบ้านย่อมมีความสุข
ต่างจากห้องพักที่อยู่เหงาๆ คนเดียว สุขบ้าง ทุกข์บ้าง
การได้พูดคุยกับเพื่อนๆ ที่มาเยี่ยมบ้านเป็นความสุขอย่างหนึ่ง
ทำให้เราได้รู้จักกันมากขึ้น ทำให้ได้แลกเปลี่ยนความคิด
เข้าใจกันมากขึ้น และ ‘ซี้’ กันมากขึ้น

แต่เราไม่สามารถคาดการณ์ได้หรอกว่า
ผู้มาเยือนจะพูดจาเรื่องอะไร อาจเป็นหัวข้อที่เราคุยต่อด้วยไม่ได้
อาจเป็นเรื่องที่เราได้ยินแล้วรู้สึกไม่ค่อยดี เสียกำลังใจ
อะไรก็เกิดขึ้นได้ในห้องรับแขก-แขกมากหน้าหลายตา

จริงๆ แล้ว เราเห็นว่า เจ้าของบ้านไม่มีสิทธิกำหนดว่า
สิ่งใดควรพูดในบ้าน สิ่งใดไม่ควรพูด เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ควรรักษาไว้
สิทธิในการแสดงความคิดเห็น

ถ้าคนหนึ่งพูดได้ อีกคนก็ควรจะพูดได้

สองวันที่ผ่านมา
เราจึงใช้วิธีแบบคิดสั้น คือ ปิดหูตัวเองซะ
ไม่ฟังคำสนทนาแลกเปลี่ยนจากผู้มาเยี่ยมทุกแบบ
ดี-ร้าย อยากฟัง-ไม่อยากฟัง คุยต่อได้-คุยต่อไม่ได้

แต่การปิดหูก็ทำให้เกิดบรรยากาศสนทนาทางเดียว
ซึ่งเรารู้สึกว่า มันไม่ใช่บรรยากาศของบ้าน
การพูด-พูด-พูดอยู่ข้างเดียว ย่อมมิใช่การสนทนา

อย่างที่เคยเล่าว่า เพื่อนนักเขียนคนหนึ่งเคยบอกกับเราว่า
“ถ้าไม่ชอบหนังสือของเราก็อย่าด่ากันนะ เราไม่ค่อยแข็งแรง”
เหมือนที่คุณ อรุณวดี อรุณมาศ พูดไว้บนเวทีสนทนาในงาน
วรรณศิลป์จุฬาฯ ว่า “ไม่ชอบเล่นอินเตอร์เน็ต เพราะเคยอ่าน
คำวิจารณ์งานเขียนของตัวเอง แล้วรู้สึกแย่ อ่อนแอเกินกว่าจะอ่านได้”

เคยถามอาจารย์ปิ่น ปรเมศวร์ ว่า ทำไมจึงปิดช่องแสดงความคิดเห็น?
ทั้งที่มันเป็นช่องทางการได้คุยและรู้จักกับเพื่อนใหม่ที่เราไม่เคยเจอหน้าค่าตา
ซึ่งช่วงแรกของการเขียนบล็อกอาจารย์ก็ได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ มากมาย
อาจารย์ตอบว่า “ผมอยู่ของผมดีๆ ทำไมต้องให้คนมาด่าด้วย” และ
“ขี้เกียจเถียง ถ้าวันๆ ต้องมานั่งพิมพ์โต้ตอบกันแบบนี้ ก็คงไม่ต้องทำอะไรกันพอดี”

ถึงวันนี้ เราเข้าใจคำพูดของทั้งสามคน

อยากบอกว่า รู้สึกดีที่ได้รู้จักเพื่อนใหม่หลายคน
อย่าง พี่แขก คุณเอี้ยง พี่จุ๋ม พี่ญา และน้องๆ ที่ได้คุยกันบ่อยๆ ในนี้
อย่าง สิ มด ปอ ต้อม ศร เติ้ล อ้อย หมี บอม ฯลฯ
และคนอื่นๆ ที่พูดคุยกันเป็นระยะ

ดี-ที่ห้องรับแขกนี้ทำให้เกิดบรรยากาศดีๆ และการแลกเปลี่ยน
ทำให้รู้จักกันมากขึ้น ซึ่งบางทีก็แตกความคิดต่อไปได้ในมุมอื่น
บางครั้งก็ได้โอกาสมานั่งทบทวนสิ่งที่เคยคิด เมื่อมีความคิดของคนอื่น
เข้ามาปะทะ (ในแบบไม่รุนแรงนัก)

คิดมาคิดไป
การปิดหู แล้วนั่งพูดอยู่คนเดียวในห้องรับแขกจึงเป็นเรื่องที่ดูจะน่าเสียดาย
จึงตัดสินใจเปิดหูออกฟังคำสนทนาของเพื่อนบ้านอีกครั้งหนึ่ง
แต่ขออนุญาตเพื่อนบ้านทั้งหลายไว้สักหนึ่งอย่าง
แม้ว่าจริงๆ แล้วจะไม่อยากขอเลยก็ตาม

คือ ขอใช้สิทธิ์ ‘ลบ’ คำสนทนาที่เจ้าของบ้าน (ผู้อ่อนด้อยและอ่อนแอ)
อ่านแล้วเห็นว่า ‘น่าลบ’ ซึ่งขอใช้สิทธิ์ในการตัดสินใจด้วยตัวเอง
ตามความอ่อนแอและอ่อนด้อยของอายุ วุฒิภาวะ และภูมิคุ้มกัน

โดยจะพยายามใช้สิทธิ์นี้ให้น้อยที่สุด
และเปิดทั้งหูและประตูห้องรับแขกออกให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้

หวังว่าเพื่อนบ้านจะเข้าใจ และไม่โกรธกัน

ขอเชิญ+ชวนให้สนทนากันโดยมิต้องเกร็งใจหรือเกรงใจ
เชิญได้เต็มที่!

และหากต้องมีบทสนทนาใดถูก ‘ลบ’ ทิ้งไป
โปรดเข้าใจด้วยว่า นั่นย่อมมิใช่ความผิดของท่าน-ผู้ส่งบทสนทนานั้นออกมา
หากแต่เป็นความผิดและความอ่อนแอของเจ้าของบ้านเอง

สุดท้าย เนื่องด้วยเจ้าของบ้านก็เป็นคนเช่นนี้
ไม่ได้ฉลาด ไม่ได้รอบรู้ ไม่ได้เป็นผู้ที่ไม่เคยผิดพลาด
ไม่ได้เป็นนักเขียน และไม่เคยเรียกตัวเองแบบนั้น
(ได้แต่หวังว่าวันหนึ่งจะเป็นได้)
เป็นแค่คนที่อยากเขียนหนังสือ และเลือกจะทดความคิด
ไว้ในบล็อก (บ้านล่องหน) เผื่อเกร็ดหรือเศษความคิดเหล่านี้
จะไปกระทบสมองใครให้นำไปประกอบเป็นอะไรต่อมิอะไรต่อ
ก็เห็นว่าน่าสนุกดี

แต่อย่าเอาจริงเอาจังอะไรกับบล็อก หรือ บ้านหลังนี้มากนัก
เพราะเจ้าของบ้านก็เป็นเพียงคนเขียนบล็อกคนหนึ่ง
มีอ่อนแอ มีร้องไห้ มีโปกฮา มีหยาบคาย มีหลายอารมณ์เหมือนใครๆ
วันไหนเหงาก็บ่น วันไหนสุขก็ฮา ตามประสามนุษย์
ในเมื่อคิดซะว่าบล็อกคือบ้านของเรา เราก็คงแสดงอารมณ์ทุกอย่างในบ้าน
ได้ตามสะดวก หากวันใดเข้ามาแล้วไม่ชอบใจ หรือรู้สึกว่าไร้สาระ
เจ้าของบ้านโง่เง่า หรือ ปัญญาอ่อน วันนั้นต้องขออภัยด้วย

แนะนำได้ แต่อย่าด่ากันเลยครับ ยอมรับว่าไม่ได้เข้มแข็งอะไร

แค่นี้ก็รู้สึกว่า พูดพล่ามมามากเกินไปแล้ว เกรงจะมีคนรำคาญ
แต่คิดดูอีกที ถ้าคนเค้ารำคาญเค้าคงไม่อ่านมาถึงบรรทัดนี้
(ถ้าอ่าน ก็ ‘ขอโทษ’ ไว้ที่บรรทัดนี้เลยละกันครับ)

เอาเป็นว่า ‘ประตู’ ห้องรับแขกเปิดอีกครั้ง
ขอเชิญแขกทุกท่านเข้ามานั่งคุยกันอีกหน
ลมเย็นๆ ต้นไม้เขียวๆ โซฟานุ่มๆ น้ำอุ่นๆ แก้คอแห้ง รออยู่

อยากพิสูจน์อีกครั้งว่า ชุมชนในอินเตอร์เน็ตไม่โหดร้ายเกินไปนัก
แต่ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่เราคิด
การปิดประตูอาจจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด.

สมองไหวในฮ่องกง

กุมภาพันธ์ 3, 2007

สมองไหวในฮ่องกง คือ ชื่อหนังสือเล่มใหม่ครับ
เป็นบันทึกการเดินทางในสมองและฮ่องกง
สั้นๆ แต่หนา (อ้าว!)

จะมีงานเปิดตัวหนังสือในวันอังคารที่ 6 กุมภาพันธ์ 2550
เวลา 14.00 – 16.00 น. ที่ร้านนายอินทร์ ชั้น 3
ศูนย์การค้าสยามพารากอน

ถ้าว่างๆ ผ่านไปแถวนั้นก็หยุดทักกันได้ครับ
จะได้ไปเห็นหน้าค่าตาหนังสือพร้อมๆ กัน
ผมก็ยังไม่เห็นเหมือนกันครับ

เล่มนี้มีวิธีเขียนที่ต่างไปจากบันทึกสามเล่มก่อนหน้านิดหน่อย
ชอบ-ไม่ชอบ เป็นเรื่องที่ต้องรอลุ้นครับ
แอบหวังว่าจะมีคนชอบมันบ้างก็พอแล้ว

ฝากไว้ให้พิจารณาครับ.
😀