Archive for สิงหาคม, 2007

ชุบกบาลด้วยโปตัสเซียมคลอเรต

สิงหาคม 30, 2007

หัวไม้ขีดไฟ มีโปตัสเซียมคลอเรต
ข้างกล่องผิวสากๆ มีฟอสฟอรัสแดง
เมื่อมัน “ขีด” กัน จะเกิดประกายไฟขึ้น

เมื่อเช้าขณะเดินอยู่บนฟุตบาท
มุ่งหน้าสู่ที่ทำงาน
กางเกงหญิงสาวสักคนห้อยลอยอยู่กลางกบาล
บนราวแขวนผ้าระหว่างต้นไม้สองต้น
ความคิดหนึ่งแว่บเข้ามาในหัว
“หัวคนเราช่างเหมือนหัวไม้ขีด”

สองวันมานี้ได้อ่านหนังสือสามเล่ม
ที่ไม่ต่างอะไรกับฟอสฟอรัสแดง
สองในสามเล่มนั้นเป็นสีแดงเสียด้วย
ไร้เลือด และขี่ม้าชมดอกไม้ (สองเล่มจบ)
อ่านแล้วเกิดประกายไฟ อยากเขียนหนังสือ

วันอาทิตย์ไปเดินดูประติมากรรมที่โกดังเก่า
เจอะเข้ากับรูปปั้นคนยืนรอรถเมล์
พล็อตเรื่อง (ไม่รู้สั้นหรือยาว) แว่บเข้ามา
เกิดเป็นประกายขึ้นในหัว ทดเก็บเอาไว้

วันนี้ไปงานเพชะคุชะ (เวอร์ชั่นเซี่ยงไฮ้)
เต็มไปด้วยฝรั่ง หลายความคิดน่าสนใจ
หลายงานก็เรียบๆ เฉยๆ
แต่งานบางชิ้นก็ทำหน้าที่เหมือนฟอสฟอรัสแดงอีกแล้ว

เห็นเขาชอบถามกันว่า
“แรงบันดาลใจนี่ต้องไปหากันที่ไหน?”
ก็น่าสงสัยจริงๆ นั่นแหละ
ไม่ยักกะเคยเห็นเป็นตัวเป็นตน

ตอนเช้า เมื่อความคิดนั้นเกิดขึ้น
ก็ตั้งใจไว้ว่าจะทดเก็บไว้บอกกับตัวเอง
(และแอบมาทดในนี้เผื่อจะแบ่งคนอื่นได้ด้วยน่ะครับ)

หากเราชุบหัวไว้ด้วยโปตัสเซียมคลอเรตอยู่เสมอก็น่าจะดี
เพราะรอบตัว ในชีวิตประจำวัน และสิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน ได้รู้จักนั้น
หลายอย่างเป็นฟอสฟอรัสแดง ที่พร้อมจะ “ขีด” ให้ไฟติด
ได้ตลอดเวลา

ไฟจะติดขึ้นมาในระยะเวลาสั้นๆ
เมื่อก้านไม้ขีดสั้นๆ นั้นเผาตัวเองมอดจนหมดไป
ไฟก็จะหายไปพร้อมกัน

หากไม่จดเก็บไว้
ไฟก็ถูกลืม
ความสว่างจะกลายร่างเป็นความมืด

และหากจะให้ดี
น่าจะนำไฟเล็กๆ บนก้านไม้ขีด
ไปจุดต่อลงบนเทียน
หรืออะไรก็ได้ที่จะอยู่ได้นานกว่า
และขยายผลออกไปได้อีก

แน่นอน ไฟย่อมต่อไฟ
จุดไม้ขีดก้านใหม่ได้อีก อีก และอีก

แต่หากหัวของเราไม่ได้ชุบโปตัสเซียมคลอเรตไว้
ต่อให้เจอฟอสฟอรัสแดง “ขีด” สักแค่ไหน ไฟก็ไม่ติด

ผมก็ไม่ได้เป็นเอเย่นต์ขายโปตัสเซียมคลอเรตเสียด้วย
ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปหากันแถวไหน
ใครหาเจอก็มาบอกกันด้วยนะครับ จะเอากบาลตามไปชุบบ้าง

ช่วงนี้อัพบล็อกถี่เกินไปละ
เอาไม้ขีดไปต่อไฟบ้างดีกว่า
อยากเขียนหนังสือแล้วครับ
หลบไปแว้บๆ ไปเขียนหนังสือเล่นๆ
เอาไว้อ่านเองนี่แหละครับ
กลัวว่าถ้าไม่เขียนเดี๋ยวไฟจะดับ
ก้านไม้ขีดจะมอดจนหมดก้านเสียก่อน
ไฟติด ต้องรีบจุด (ฮ่าฮ่า)

แต่ถ้ามีประกายไฟเล็กๆ
ก็จะมาจุดต่อใส่เทียนไข
ที่ตั้งไว้ในห้องรับแขกแห่งนี้เป็นระยะ
ส่องห้องรับแขกให้แสงสลัวๆ ชวนง่วง

เพื่อชีวิตที่สมดุล
ย่อมมีเวลาที่ไฟติดและเวลานอน

ตื่นขึ้นมาค่อยชุบกบาลด้วยโปตัสเซียมคลอเรต
แล้วก็เดินออกจากบ้านเพื่อไปพบพานกับฟอสฟอรัสแดง

จงนับก้อนเมฆ แล้วเวลาจะมาถึง

สิงหาคม 29, 2007

null

เรื่องบังเอิญเกิดขึ้นในชีวิตเราเสมอ
หากมีเวลาเพียงพอเราจะรู้สึกถึงมัน

สองสัปดาห์ก่อนได้มีโอกาสนั่งคุยเรื่องหนังสือ
กับพี่แป๊ด-ระหว่างบรรทัด ในบทสนทนาขนาดยาว
มีหนังสือชื่อ “ไหม” ของ อเลซซานโดร บาริกโก
แทรกตัวเข้ามา

หลังจากนั้นไม่กี่วัน เพื่อนคนหนึ่งก็พูดถึง “ไหม”
ถามว่า-เคยอ่านไหมไหม?
ตอบไป-อยากอ่าน แต่ไม่ได้อ่านสักที
จริงๆ แล้วหนังสือเล่มบางๆ แบบนี้ ชอบนักล่ะ

ไม่กี่วันถัดมา เพื่อนคนนั้นติดใจ “ไหม”
จึงไปซื้อ “ไร้เลือด” ของผู้เขียนคนเดียวกันมาอ่านอีก
และเริ่มกล้าพูดเกือบจะเต็มปากเต็มคำว่า “ชอบ”
นักเขียนคนนี้

ตั้งใจเอาไว้ว่ากลับไปจะรีบไปหามาอ่าน
ได้ข่าวว่า เล่มบาง

วันนี้ เดินทางไปรับ “ของ” ในห่อสีน้ำตาลที่ที่ทำการไปรษณีย์
พนักงานยื่นห่อยู่ยี่มาให้ ของข้างในมีหลายชิ้น ยังไม่ได้แกะดู
ใส่มันลงไปในกระเป๋า และเดินต่อ

มานั่งลงในร้านน้ำชาเงียบๆ แห่งหนึ่ง บรรจงแกะห่อกระดาษสีน้ำตาล
ในนั้นมีหนังสือสองเล่ม หนึ่งในนั้นคือ “ไร้เลือด” ของ บาริกโก
ตื่นเต้น แปลกใจ และตัดสินใจพัก “ขี่ม้าชมดอกไม้” ของ
‘รงค์ วงษ์สวรรค์ (หนุ่ม) ที่อ่านค้างไว้ แล้วแง้ม “ไร้เลือด” อ่านก่อน

ผมเดินทางจากบ้านไร่เก่าโทรมในหน้าแรกไปจนถึงเตียงนอน
ในหน้าสุดท้ายภายในร้านน้ำชาแห่งนั้น-อย่างไม่รีบร้อน

บางฉากบางตอนทำให้ตกใจ
บางบรรทัดทำเอาเกือบน้ำตาไหล
บางความคิดก็ทำให้ต้องหยิบดินสอมาขีดเน้นความสำคัญ

ภาษาเรียบง่าย แต่เหตุการณ์และเรื่องราวช่างมีพลัง

อ่านจบแล้วมีความหวัง
อ่านจบแล้วอยากเขียนหนังสือ

เจ้าของ “ไร้เลือด” เล่ามาในจดหมายว่า
วันนั้นตั้งใจจะ “คัด” หนังสือเพื่อนำไปบริจาคให้เด็ก
แต่ในจำนวนหนังสือเกินร้อยเล่มนั้น เธอ “ตัดใจ” บริจาคได้แค่
หกเล่มเท่านั้นเอง นับได้ว่ารักหนังสือไม่ใช่น้อย และระหว่าง
สางหยากไย่ในกรุหนังสือของตัวเอง ก็เกิดความคิดว่า
น่าจะลองให้ “ไร้เลือด” เปลี่ยนเจ้าของดูเสียหน่อย
เพราะเธอคิดว่าอาจจะเหมาะกับเจ้าของใหม่ เดาเอาว่าคงชอบ

“บางที “ไร้เลือด” อาจจะทวีคุณค่ามากขึ้นเมื่อเปลี่ยนคนอ่าน”
เธอแนบข้อความมาว่าอย่างนั้น

ไม่กี่วันก่อน เพื่อนที่ชื่นชอบ อเลซซานโดร บาริกโก
เพิ่งบอกกับผมว่า “เราคิดว่าหนังสือไม่ควรอ่านคนเดียว”
(บังเอิญอีกแล้วใช่ไหม?)

บางที หนังสือบางเล่มก็ต้องรอบางคนนำมันมาสู่เรา
และช่วงเวลานี้ก็เหมือนมีใครสักคนพยายามให้ผม
ทำความรู้จักกับ อเลซซานโดร บาริกโก โดยจงใจ

ผมดีใจที่เป็นคนที่สองที่ได้อ่านหนังสือเล่มเดียวกันนี้
และอยากส่งต่อให้คนที่สาม ที่สี่ ที่ห้า ที่หก…
เขียนมาถึงตรงนี้ ก็นึกไปถึงคำท้ายเล่มที่บรรจุไว้ในหนังสือ
ของสำนักพิมพ์ผีเสื้อทุกเล่ม เขาเขียนเอาไว้ว่า

“เรามิได้ทำหนังสือให้ท่านอ่านเพียงวันนี้
เดือนนี้ หรือปีนี้ แต่หวังจะให้อยู่เนิ่นนาน
มิใช่ในชั่วเวลาสิบปี ยี่สิบปี หรือห้าสิบปี
ทว่าอยากให้อยู่ถึงร้อยปีหรือกว่านั้น
เหมือนวรรณกรรมและหนังสือดีๆ ทั้งหลาย
ที่มักจะอยู่ในความทรงจำของผู้อ่าน
สืบทอดต่อกันรุ่นแล้วรุ่นเล่า
จดจำกันสืบไปไม่รู้เลือน
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด
หนังสือทุกเล่มของสำนักพิมพ์นี้ก็เช่นกัน
ด้วยเราเชื่อมั่นประการหนึ่งว่า
การทำหนังสือดีก็เหมือนการสร้างโบสถ์วิหาร”

เป็นเจตนาเพื่อ “ส่งต่อ” เช่นกัน ใช่ไหม?

เวลาได้อ่านหนังสือดีๆ นี่มีความสุขนะครับ
และผมก็คิดว่า หากคนที่ส่งต่อหนังสือดีๆ มาให้ได้รู้ว่า
คนรับมีความสุขจากการอ่าน เขาก็คงมีความสุขเหมือนกัน

ขอส่งต่อ “ไร้เลือด” ให้คนที่ยังไม่เคยอ่านครับ

เหมา-บนฝาผนัง

สิงหาคม 29, 2007

null

“ประธานเหมา” คือสิ่งแรกที่เห็น เมื่อก้าวเท้าเข้าไปในร้าน
ผมเองก็ไม่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมบ้านคนจีนแท้ๆ สักเท่าไหร่
จึงไม่รู้ว่า ทุกวันนี้ยังมีคนประดับรูปประธานเหมาไว้ที่ฝาผนังบ้าน
กันกี่มากน้อย เคยเห็นบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งในปักกิ่งแขวนหลายสิ่ง
เกี่ยวกับประธานเหมาเอาไว้ ส่วนบ้านเรือนที่เซี่ยงไฮ้นี่ไม่ค่อยเห็น

เนี่ยลั่งจูงมือผมเข้าไปในร้านอาหารหูหนาน
“หู” คือทะเลสาบ “หนาน” แปลเป็นไทยว่า ใต้
รวมกันแล้วไม่ใช่ “ใต้ทะเลสาบ” แต่เป็น “ทะเลสาบใต้”
ทั้งนี้ยังมี “หูเป่ย” ซึ่งแปลว่า “ทะเลสาบเหนือ” อีกด้วย

เราสั่งอาหารเลื่องชื่อของหูหนานมาสำราญลิ้น
หนึ่งคือหัวปลารสเผ็ด นามว่า โต้วเจียวหยูโถว
ส่วนอีกหนึ่งนั้นเป็นอาหารจานโปรดของผม-หงซ่าวโร่ว
ซึ่งก็คือหมูสามชั้นเค็มปนหวานกลมกล่อมนั่นเอง
แต่จะว่าไป หงซ่าวโร่ว ก็มีหลายสูตร และสูตรหนึ่ง
ที่ผมอยากลองมานานก็คือสูตรของหูหนานนี่เอง
เพราะเป็นสูตรเฉพาะที่ประธานเหมาชื่นชอบ
ในร้านนี้จึงไม่ใช่หงซ่าวโร่วธรรมดา แต่เป็น-เหมาซื่อหงซ่าวโร่ว

ประธานเหมาเป็นชาวหูหนาน และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ร้านนี้
แขวนภาพของท่านเอาไว้ให้ผู้คนเห็นเป็นสิ่งแรก
ผมไม่แน่ใจว่าข้างในจิตใจของเจ้าของร้านจะเคารพศรัทธาเหมา
หรือแค่ใช้ภาพมาตกแต่งร้าน เพื่อสื่อ “สาร” ในเชิงสัญลักษณ์
ซึ่งถ้าเป็นอย่างหลัง “เหมา” ในที่นี้แปลว่า “หูหนาน” เท่านั้นเอง
ไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งมากกว่านั้นเลย และถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ
ความหมายของ “เหมา” ก็แบนไม่ต่างอะไรกับภาพที่นำมาติดไว้

“นายชอบประธานเหมาไหม” ผมแง้มถามชายหนุ่มจากฉงชิง
ซึ่งอยู่ในละแวกใกล้เคียงกับหูหนาน เนี่ยลั่งแย้มยิ้ม พยักหน้า
แล้วพูดออกมาว่า “เป็นไอดอลของเราเลยล่ะ” ผมออกจะแปลกใจ
ที่ได้ยินคำตอบนี้ เพราะเท่าที่เคยถามหนุ่มสาวชาวจีนที่รู้จักกัน
หลายคนตอบว่า “ไม่ชอบ” และก็ให้เหตุผลต่างๆ กันไป
แต่ผู้ให้คำตอบส่วนใหญ่เป็นชาวเซี่ยงไฮ้ บ้างก็บอกว่า
เหมาทำให้จีนพัฒนาช้าไปหลายสิบปี บ้างก็ไม่ชอบที่เหมา
“ปฏิวัติวัฒนธรรม” ด้วยวิธีการที่ค่อนข้างรุนแรง

แต่ทำไมเนี่ยลั่งถึงชอบ?

“ประธานเหมาเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวและเด็ดขาด”
ผมออกจะแปลกใจกับเหตุผลที่ยกขึ้นมา เพราะมันช่างขัดกับ
บุคลิกของเขาที่โอนอ่อนราวกับต้นหญ้าลู่ลม แต่แล้วถ้อยคำ
หลังจากนั้นที่พรั่งพรูออกมาก็ช่วยให้ผมเข้าใจมากขึ้น
“ประธานเหมาเป็นศิลปิน เป็นนักเขียน เป็นนักโฆษณา
เป็นนักแต่งเพลง เป็นทุกอย่าง ท่านเก่งมาก”
“เหมาวาดภาพด้วยเหรอ” ผมถาม “อืม ตัวหนังสือของเหมา
ก็คือภาพวาด ท่านเขียนตัวหนังสือได้สวยมาก”
เอลวิสก็เคยบอกกับผมว่า ลายมือของเหมานั้นได้รับการยอมรับว่า
“สวย” และขึ้นชื่อลือชาเอามาก ตอนนั้นเขาชี้ให้ผมดูที่ป้ายหิน
แผ่นหนึ่งใกล้ๆ ทางขึ้นไปกำแพงเมืองจีน

ผมเพิ่งอ่านหนังสือเจอมาเมื่อไม่นานมานี้ว่า
คนจีนให้ความสำคัญกับลายมือมาก เพราะมันเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง
ตัวหนังสือจีนก็คืออักษรภาพ เพราะฉะนั้นถ้าเขียนสวย
ก็เท่ากับว่าวาดภาพได้สวย เราจึงเห็นคนจีนนำตัวหนังสือ
มาประดับบ้านเสมือนภาพวาดอยู่ในส่วนต่างๆ เต็มไปหมด

“เหมาเขียนสโลแกนเก่งมาก มีสโลแกนดีๆ เต็มไปหมด
จริงๆ แล้ว เหมาเป็นก๊อปปี้ไรเตอร์ที่เก่งมากๆ เลยทีเดียว”
เนี่ยลั่งพยายามโยงเหมาเข้ากับอาชีพการงานของพวกเรา
“แถมเหมายังเป็นนักเขียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของจีน
หนังสือที่เหมาเขียนเต็มไปด้วยวรรคทอง เคยอ่านบ้างไหม”

“อืม มีอยู่ที่บ้าน อ่านไปได้นิดหน่อย เดี๋ยวจะลองอ่านดู
นี่เด็กทุกคนต้องอ่านหนังสือของเหมาหรือเปล่า”

“เราใช้หนังสือของเหมาเป็นแบบเรียนตั้งแต่สมัยประถม”

“หา! จริงเหรอ แล้วนอกจากเหมา พวกนายเรียนอะไรกันอีก
เติ้งเสี่ยวผิง เรียนไหม”

“เติ้งนี่เรียนสมัยมัธยม ตอนประถมเรียนพวกขงจื่อ จวงจื่อ
เต้าเต๋อจิง…”

“หา! เรียนตั้งแต่ประถมเนี่ยนะ!”

“อืม เรียนเบื้องต้นน่ะ แล้วก็ยังมี เก๊าเอ้อจี้ (นักเขียนใหญ่ของรัสเซีย
ที่เนี่ยลั่งจำชื่อภาษาอังกฤษไม่ได้), เช็กสเปียร์, หลู่ซิ่น โอย
อีกเยอะมาก ถึงตอนนี้ก็จำไม่ค่อยได้แล้ว นายรู้จัก เหลยฟง ไหม”

“ใครอะ ไม่เคยได้ยิน”

“เหลยฟง เป็นทหารก่อนยุคประธานเหมา มีแนวความคิดหลักๆ คือ
จงเป็นผู้ให้ และอย่าหวังรับอะไรจากใคร เหลยฟง มีชื่อเสียงมาก
ผู้คนรักเขา และถึงทุกวันนี้พวกเรายังต้องเรียนเรื่องของเหลยฟง
กันอยู่เลย อ้อ มีวันเหลยฟงด้วยนะ”

“เหลยฟงเดย์เหรอ ตรงกับวันไหน”

“ไม่รู้แฮะ จำไม่ได้ แต่เหมาประกาศว่า ให้ทุกวันเป็นวันเหลยฟง
หมายความว่าทุกคนควรจะมีเหลยฟงไว้ในใจทุกวัน”

“แล้ว หลู่ซิ่น ล่ะ เป็นคนในยุคไหน”

“หลู่ซิ่น เป็นนักเขียนยุคหลังฮ่องเต้ เขาเดินทางไปศึกษาด้านการแพทย์
ที่ญี่ปุ่น แต่พอกลับมาจีน แล้วญี่ปุ่นมาบุกจีน ฆ่าคนจีน ทำร้ายคนจีน
แล้วคนจีนไม่ตอบโต้ ไม่สู้ หลู่ซิ่นจึงทนไม่ได้ เริ่มลงมือเขียนหนังสือ
ปลุกใจให้ชาวจีนทุกคนเข้มแข็ง เลิกก้มหัวยอมให้คนอื่นทำร้ายตัวเองเสียที
ณ เวลานั้น หลู่ซิ่นถือว่าเป็นคนที่เปลี่ยนความคิดของคนจีนเลยทีเดียว”

“เปลี่ยนยังไง”

“แต่ก่อนคนจีนเรามี ขงจื่อ จวงจื่อ อยู่ในใจ จวงจื่อสอนให้รักสงบ
ขงจื่อสอนว่าหากมีใครตบหน้าเรา ก็จงยิ้มกลับไปให้เขา
ใครทำสิ่งที่เลวมา ก็ให้ต่อสู้ด้วยความดี แนวคิดส่วนใหญ่ของจีน
ในยุคก่อนสอนให้ยอมคน อยู่อย่างสงบ และไม่คิดรุกรานใคร
แต่มาถึงยุคนั้น (ยุคล่าอาณานิคม) ครั้นจะขงจื่อ จวงจื่อ กันต่อไป
หลู่ซิ่นก็เห็นว่าไม่ได้การเสียแล้ว”

“งี้หลู่ซิ่นก็คนละแนวทางกับขงจื่อเลยสิ”

“โหย หลู่ซิ่นเกลียดขงจื่อมากๆ เพราะขงจื่อทำให้คนจีนอ่อนแอ”

“เคยอ่านหนังสือของหลู่ซิ่นเล่มหนึ่ง ชื่อ อาคิว”

“โอย ใช่เลย เล่มนี้แหละสะท้อนลักษณะนิสัยคนจีนในยุคนั้น
อาคิว ที่เป็นคนปวกเปียกก็เหมือนกับคนจีนในยุคนั้นนั่นเอง”

“อ้อ เพิ่งรู้นะเนี่ยว่า หลู่ซิ่นนี่แนวปลุกระดม”

“อืม ด้วยเหตุนี้แหละ ประธานเหมาถึงชอบหลู่ซิ่น และไม่ชอบขงจื่อ
จวงจื่อ หรือสารพัดจื่อเอาเสียเลย ตอนนั้นเป็นช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม
พวกแนวความคิดเก่าๆ ถูกเผาถูกทำลายเกลี้ยง ใครชอบใครเชื่อ
ความคิดแบบนั้นก็พานจะถูกทำลายไปด้วย เพราะเหมาคิดว่า
จีนยุคใหม่ต้องแข็งแรง จะทำตัวแบบเก่าๆ ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว”

“แล้วแนวความคิดของเหมาล่ะ”

“ตอนนั้นจีนมีสองผู้นำประลองกำลังกัน ด้านหนึ่งคือเหมา
อีกด้านคือ เจี่ยงเจี้ยสือ (เจียงไคเช็ก) ซึ่งเอียงไปทางอเมริกา
เหมาพยายามจะรักษาจีนเอาไว้ สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ
ในยุคก่อนเหมา คนจีนจำนวนมากที่เป็นชาวนาไม่มีอะไรกิน
เหมาแบ่งสรรปันส่วนให้ทุกคนได้มีข้าวกิน เหมือนๆ กัน
แต่เจี่ยงเจี้ยสือไม่ได้คิดแบบนั้น คนมีเงินบางคนเท่านั้น
ที่จะมีข้าวกิน แล้วรู้ไหม คนจีนพันล้านคนเนี่ย เป็นชาวนา
เกือบแปดร้อยคนเข้าไปแล้ว”

“ครอบครัวนายแต่ก่อน เมื่อนานมาแล้วก็เป็นชาวนาไหม”

“ใช่ ที่ฉงชิงมีชาวนาเยอะมาก ในจีนก็มีเยอะมาก”

ถึงตรงนี้ผมก็ได้คำตอบที่ตอบข้อสงสัยของตัวเอง
ว่าทำไมเนี่ยลั่ง-ตัวแทนจากฉงชิงจึงชอบเหมา
และทำไมคนเซี่ยงไฮ้ที่มองไปข้างหน้า
อยากเจริญรุดหน้าเร็วๆ จึงไม่ชอบ

“ประธานเหมา เหมือนพระพุทธเจ้า เหมือนพระเยซู
สำหรับบางคน”

“โหย จริงเหรอ แต่ก็มีบางคนใช่ไหมที่ไม่ชอบท่าน”

เนี่ยลั่งหยุดนิ่งหนึ่งอึดใจ แล้วค่อยๆ ตอบ
“ประธานเหมาเป็นมนุษย์ปุถุชน ไม่สมบูรณ์แบบหรอก
มีดี และมีแย่ ด้านแย่ก็มี แต่อย่างน้อยท่านก็ทำเพื่อคนส่วนใหญ่”

ผมโยนคำถามเดียวกันกับที่เคยถามเพื่อนชาวเซี่ยงไฮ้คนอื่น
“แต่ ณ เวลานั้น ถ้าไม่มีเหมา ป่านนี้ก็ไม่รู้จีนจะแตกออกเป็นกี่ประเทศ”

“ก็เป็นไปได้ บางทีอาจคล้ายเกาหลี เพราะตอนนั้นก็มีสองกำลังง้างกันอยู่”

“อืม…”

“หลังจากที่เหมาชนะ เจี่ยงเจี้ยสือต้องหลบไปตั้งรกรากที่ไต้หวัน
บนแผ่นดินใหญ่ที่ผ่านการปฏิวัติวัฒนธรรม เผาตำราโบราณ ล้างความเชื่อ
จึงไม่มีพิธีเก่าๆ เหมือนในไต้หวัน ซึ่งยังเคร่งครัดกว่ามาก”

บางทีผมยังคิดเลยว่า คนจีนในไทยนี่ประเพณีจีนแข็งแรงกว่าที่นี่เสียอีก
อย่างสารทจีนที่กำลังไหว้กันอยู่ ที่นี่ก็ไม่มีแต่อย่างใด

“ทุกวันนี้ ยังมีคนประดับรูปประธานเหมาไว้ที่ฝาผนังบ้านอีกไหม”

“คงจะเหลือน้อยมาก ตามชนบทไกลๆ อาจจะยังมีอยู่
แต่ในเมืองนี่ไม่น่าจะมีแล้ว ทุกวันนี้คนไม่มีเหมาในใจแล้ว”

“ไม่มีในใจ ก็ไม่มีบนผนัง”

“เติ้งเสี่ยวผิง เป็นอีกคนหนึ่งที่พลิกจีน ปฏิวัติจีนให้เปลี่ยนไป”
เขาทำท่าพลิกฝ่ามือรุนแรง

“นายไม่ชอบเหรอ”

“ก็ไม่ใช่ชอบหรือไม่ชอบ มันก็ต้องเป็นไป”
เนี่ยลั่งตอบอย่างกะจวงจื่อมาเอง ว่าแล้วก็พูดต่อ

“แต่ทุกวันนี้ จีนเปลี่ยนเร็วเกินไป เติบโตเร็วเกินไป
ตอนนี้ไม่มีเหมา ไม่มีขงจื่อ ไม่มีจวงจื่อ ไม่มีเหลาจื่อ ไม่มีหลู่ซิ่น
ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ในใจคนจีน ยิ่งคนในเมือง
ไม่มีความเชื่ออะไรเหลือแล้ว”

“เป็นอย่างนั้นเลยเหรอ แล้วพวกเขาเชื่อในอะไรกัน”

“เงินไงล่ะ เงิน”

ผมมองออกไปนอกร้าน เห็นร้านอาหารหรูหราตรงกันข้าม
ประดับโคมไฟระย้า บัวผนังทาสีทองอร่าม เก้าอี้สไตล์ยุโรป
ตั้งเรียงราย บนฝาผนังแขวนภาพเขียนยุโรปที่ผลิตซ้ำขึ้นจาก
การพริ้นท์ภาพเขียนชื่อดังลงบนผืนผ้าใบ หลายร้าน
หลายสถานที่ในเซี่ยงไฮ้อวดความหรูหราข่มกันแบบไม่มีใครยอมใคร
ผมนึกไปถึงตลกร้ายที่น้องชายชาวเซี่ยงไฮ้เคยเล่นไว้กับผม
“ผมชอบเหมานะพี่ รักเหมามากเลย เหมาที่อยู่บนแบงค์น่ะ ฮ่าฮ่า”

แล้วผมก็หันกลับมามองรูปท่านประธานเหมาในร้านอีกครั้ง
ความหมายของ “เหมา” ที่แขวนไว้บนผนังคืออะไร
ได้แต่แอบหวังเอาไว้ในใจ ว่าท่านไม่ได้ถูกแขวนเอาไว้เพื่อเป็นนางกวัก

นักเขียนคนโปรด

สิงหาคม 28, 2007

วันนี้ฉันได้รับซองสีน้ำตาล
ในนั้นมีของชวนใจเต้น
หนังสือเล่มบางๆ เย็นๆ
ฉันใจเต้นเมื่อได้เห็นมัน

ไม่ได้อ่านงานของเขามาหลายปี
เห็นอีกทีจึงใจเต้นไม่เป็นส่ำ
หนังสือสีขาวตัวหนังสือสีดำ
ฉันค่อยๆ ลูบคลำเนื้อเนียนๆ

คมสัน นันทจิต
ผลิตตัวหนังสือที่ฉันชอบ
เหมือนกุ้งชุบแป้งทอดกรอบๆ
ขอบคุณเธอที่มอบให้มา

ในนั้นมีสิ่งพิเศษ
ลายมือโยกเยกซ้ายขวา
เขาเขียนเอาไว้ทำนองว่า
ให้อ่านช้าช้าอย่าเร่งไป

ดีใจที่ได้ลายเซ็น
แหม เห็นแล้วอดใจไม่ไหว
รีบพลิกดูข้างใน
จะเป็นอย่างไร ไม่ได้เจอตั้งนาน

หนังสือบางเล่มเหมือนคนรู้จัก
นักเขียนบางคนก็คล้ายมักจี่
นานๆ จะได้เจอกันที
ผ่านทางนี้-หน้ากระดาษบางๆ

ฉันชอบผลงานเขา
เฝ้ารออ่านเสมอ
ทุกครั้งที่ได้เจอะเจอ
บอกเขาเสมอ-ผมรออ่าน

รวมความเรียงหกเรื่อง
พูดถึงโลกเรืองรองแห่งเสียง
ไร้ตัวตนมีเพียงสำเนียง
และ ‘เสียง’ สำหรับเขาคือ-แจ๊ส

ทั้งที่ต้องทำงานต่อ
แต่ก็ขออู้สักหน่อย
ปล่อยดวงตาให้เหม่อลอย
ค่อยๆ ไหลไปในโลกใบนั้น

รู้สึกตัวอีกที
สามเรื่องเข้าไปแล้วฉัน!
พักไว้ตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน
เดี๋ยวมันจะจบเร็วเกินไป

ความรู้สึกทำนองนี้
ไม่ได้เป็นมาแล้วพักใหญ่
อ่านตัวหนังสือคมสัน ปราบดา ทีไร
ก็เป็นอย่างนี้ไปเสียทุกที

พี่ครับ พี่คือนักเขียนคนโปรด
ผมชอบอ่านงานของพี่
ขอบคุณอูม-น้องสาวคนดี
ที่ส่งพี่มาจากแดนไกล

พี่ครับ ผมชอบเรื่องแรกจัง
ผมชอบฟังเวลาพี่เล่าเรื่องโรแมนติก
มันไม่ยุกๆ ยิกๆ
แต่ชวนให้หยิกแก้มตัวเอง

วันนี้ผมตั้งใจจะเขียนบล็อกสั้นๆ
เอาเวลาหลังจากนั้นไปนอนอ่านหนังสือพี่
ช้าช้า ค่อยค่อย ไม่หายใจถี่
เพราะหนังสือพี่โคตรบาง!

เกรงจะอ่านจบเร็วเกินไป
เกรงว่าจะไม่มีอะไรอ่าน
เกรงว่าคงต้องรออีกนาน
กว่าเล่มใหม่จะเดินทางมาอีกครา

ค่ำคืนอันสงบเงียบและโดดเดี่ยว
นอนคนเดียวกับที่ว่างซ้าย-ขวา
เปิดเพลงแจ๊สเท่าที่หอบหิ้วมา
กวาดสายตาช้าช้าในโลกนั้น

จะมีอะไรเหมาะไปกว่านี้อีก
โลกนี้ช่างเหงาทว่าสดใส
เพลงแจ๊สดังกังวานอยู่ไกลๆ
ทุกเพลงผมล้วนไม่รู้จัก

จอห์น โคลเทรน, ไมลส์ เดวิส
อยากเข้าไปใกล้ชิดหรือก็เปล่า
เคยได้ฟังบ้างเป็นบางคราว
แต่ก็ไม่ได้ติดหู กระทบใจ

แต่ผมชอบเวลาพี่พูดถึงพวกเขา
ดูพี่รักและเอาใจใส่
เหมือนพี่ชื่นชมและหลงใหล
ผมจึงฟังไปด้วยความเพลิดเพลิน

ไปนอนอ่านงานพี่ดีกว่า
ซุกตัวเข้าไปใต้ผ้าหนาๆ
เปิดไฟแสงส้มสบายตา
แล้วเปิดหน้าถัดไป ถัดไป และถัดไป.

null

คนที่เราไม่อยากให้เขาตาย

สิงหาคม 26, 2007

null

สุดสัปดาห์นี้มีความสุขมากครับ
วันเสาร์ไปเดินดูนิทรรศการ Gaudi’ Cosmos
Architecture, geometry and design ที่
Museum of Contemporary Art (MoCA)

ส่วนวันนี้ไปดู (และเล่น) นิทรรศการ
Japan Media Arts Festival in Shanghai 2007
ที่ Shanghai Sculpture Space สนุกมากครับ
จะทยอยแบ่งให้ดูและเล่าให้ฟังเมื่อมีโอกาสครับผม

ผมเคยคิดสงสัยว่าเวลาที่คนมีชื่อเสียงเสียชีวิตไป
ทำไมคนชอบพูดกันว่า “เสียดายที่เขาจากไป”
เพราะผมรู้สึกว่า ยังมีคนอีกมากในตำแหน่งหน้าที่ และอาชีพเดียวกัน
เหมือนตอนป๋าต๊อก (ล้อต๊อก) เสียชีวิต ผมก็คิดว่ายังมีพี่หม่ำ
ดาราดังสักคนเสียชีวิต ผมก็คิดว่ายังมีอีกหลายคน
ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ร่วมแสดงความเสียใจอยู่ห่างๆ
แต่หมายความในแง่สงสัยว่าทำไมผู้คนจึง “เสียดาย”

ยังจำได้ เมื่อปีก่อน ตอนที่กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ เสียชีวิต
ผู้อ่านและคนในแวดวงหนังสือรู้สึก “เสียดาย” อย่างยิ่ง
ที่เขาต้องจากไปในวัยหนุ่ม ซึ่งที่จริงแล้ว เขาควรมีเวลา
อยู่บนโลกนี้และผลิตผลงานดีๆ ต่อไปอีกหลายปี

ผมเคยอ่าน “โลกหมุนรอบตัวเอง” ของเขาเพียงเล่มเดียว
จากการแนะนำของพี่ชายคนหนึ่ง หลังจากอ่านจบก็อยากไปหา
หนังสือที่เขาเขียนมาอ่านอีก แต่ก็ได้แต่คิด กระทั่งเขาเสียชีวิตลง
เกิดกระแส “กนกพงศ์” ขึ้นมาช่วงหนึ่ง หนังสือหลายเล่มของเขา
ได้รับการตีพิมพ์ใหม่ และผมก็ได้ซื้อมาหลายเล่ม ยิ่งอ่าน
ก็ยิ่งเข้าใจว่า ทำไมผู้คนจึง “เสียดาย” ที่เขาต้องจากไปเร็วเกินกาล

ผมได้ยินชื่อ “เกาดี้” ครั้งแรกจากปากของเพื่อนถาปัดที่เพิ่งกลับมาจาก
การไปเที่ยวสเปน บ้านของเกาดี้ดูจะเป็นสิ่งที่ชวนให้มันประทับใจที่สุด
ในการเดินทางครั้งนั้น ผมเล่าฟูมฟายไม่หยุดหย่อน ไอ้คนนี้ชอบ
ดูอาคาร อยากออกแบบอาคารสนุกๆ ผมก็ไม่รู้จัก ได้แต่เออๆ ออๆ
ห่อหมกจกข้าวเข้าปากผึ่งหูฟังมันไปเรื่อยๆ แต่ก็จำชื่อพี่เขาได้
“พี่เกาดี้” และก็คิดว่า หากมีโอกาสได้ไปสเปนคงไม่พลาด

ผลงานหน้าตาประหลาดๆ ของเกาดี้ผ่านตาไปมาเหมือนแมลงวันบิน
คือไม่เคยได้นั่งจ้องมองมันดีๆ สักที ก็รู้แค่ว่าอาคารของพี่เขา
เหมือน “ปั้น” ขึ้นมา ไม่ได้ “ก่อสร้าง” หน้าตามันเหมือน
เด็กซนๆ “แปะ” ดินน้ำมันสีสันเจ็บๆ เติมไปเรื่อยๆ โค้งๆ เว้าๆ
งอกโน่นงอกนี่ หยึกๆ หยักๆ ขยุกขยุยไปทั้งหลัง
คล้ายๆ ปราสาทในเทพนิยาย ผมจำได้ว่าอย่างนั้น

กระทั่งวันนี้เสียเงินยี่สิบหยวน (หนึ่งร้อยบาท) เพื่อเข้าไปทำความรู้จัก
กับพี่เกาดี้ให้มากขึ้น อยากรู้เหมือนกันว่า “ดี้” ของพี่โดนยุงกัดตรงไหน
พี่ถึงต้อง “เกา” ตลอดเวลา (โอว…ขำไหมเนี่ย…เสียวๆ อยู่)

นิทรรศการเปิดด้วยห้องมืดขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องฉายภาพ 3 เครื่อง
ฉายรูปถ่ายสถาปัตยกรรมของเกาดี้ ฝีมือการถ่ายภาพของ
Rafael Vargas ช่างภาพชาวสเปนที่ตั้งใจถ่ายทอดผลงาน
ของเกาดี้ให้ออกมาสวยงามในเชิงของภาพถ่าย ภาพที่นำมาฉายนั้น
มีทั้งภายนอกและภายในอาคาร ตั้งแต่ภาพในระยะไกล
กระทั่งภาพที่เจาะเข้าไปถ่ายถึงรายละเอียดยิบย่อย

อาคารหลายหลังถูกนำมาอวด ยิ่งฉายก็ยิ่งทึ่ง
ยิ่งดูก็ยิ่งอึ้ง และเกิดคำถามในใจว่า “คิดได้ไงวะ?”

ผมจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่า อาคารที่มีรายละเอียด
ส่วนโค้งเว้านูนยุบ มีฟอร์มที่ยึกยักโย้เย้แบบนั้นสถาปนิก
คิดและเขียนแบบออกมาได้อย่างไร (ในสมัยที่ยังไม่ใช้
คอมพิวเตอร์) และรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่สวยงาม
ตามซอกมุมต่างๆ ของอาคาร ก็ราวกับ “ทำมือ”
คือมันเหมือนงานปั้น งานหัตถกรรม แต่ละชิ้นมีเอกลักษณ์มากๆ
เขาต้องนั่งคิดรายละเอียดพวกนี้นานขนาดไหน?
หรือค่อยๆ ปะติดปะต่อไปเรื่อยๆ เหมือนเด็กเล่นดินน้ำมันจริงๆ?

null

หลังจากนั่งชมภาพถ่ายคลอเพลงสเปนจนอึ้ง ทึ่ง ตะลึงตาโตไปแล้ว
พอเดินออกมาก็ได้พบว่า ที่อึ้งในห้องมันยังอึ้งไม่หมด
เพราะด้านนอกนั้นจัดแสดง “โครงสร้าง” ในแต่ละส่วน
ไม่ว่าจะเป็นเพดาน ผนัง หลังคา โครงสร้างแขวน และเล่าวิธีคิดคร่าวๆ
ของเขา ซึ่งจะว่าไปก็ถือว่า “ล้ำ” มากๆ ในยุคนั้น

โครงสร้างแต่ละส่วนไม่ธรรมดาเลย เกิดจากการนำเส้นตรงมาวางเรียง
และจับมันบิด เอียง กระดก จึงนำมาซึ่งฟอร์มที่แตกต่างจากคนอื่น

ไอ้ที่นั่งอึ้งๆ ในห้องเพราะคิดว่า คิดฟอร์มแบบนั้นได้ไง
ก็ต้องมีอึ้งต่ออีก เพราะลืมไปว่า นี่มันตึก!
ไม่ได้ปั้นขึ้นมา แต่มันต้องมีโครงสร้างด้วย!

และ “ข้างใน” ที่ต่างนี่เอง จึงนำมาซึ่ง “ข้างนอก” ที่เป็นเอกลักษณ์

null

ลำพังแค่เดินดูจอแสดงวิธีคิดโครงสร้างของเกาดี้
ก็ “สวย” แล้ว สวยแบบที่ยังไม่ต้องมีอะไรมาหุ้ม

null

ผมเองนั้นมีความรู้เรื่องโครงสร้างเท่าหางอึ่ง (ตัวที่หางสั้นเสียด้วย)
จึงไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก เชื่อว่าสำหรับนักศึกษาสถาปัตย์ (โดยตรง)
คงตื่นตาตื่นใจกว่าผมอีกหลายทวีคูณ และอาจได้แรงบันดาลใจ
กลับไปทดลองในแบบของตัวเองดูบ้าง

อีกอย่างที่ผมเห็นว่ามันแสดงถึงความเจ๋งของพี่ขี้เกา
คือโมเดลโครงสร้างและโมเดลอาคารที่นำมาแสดง
หลายชิ้นที่ต้องตั้งอยู่บนกระจก เพื่อส่องสะท้อน “ใต้” เพดาน
ให้คนได้เห็น คือไม่ใช่แค่สวยหรือมีดีแค่ด้านข้าง ด้านล่าง
แต่ยังสวยละเอียดยิบไปถึงด้านบน เพดานช่างอลังการเหลือเกินครับ

null

null

บนชั้นสอง แสดงผลงานการออกแบบของเกาดี้
ทั้งเก้าอี้, ประตู, หน้าต่าง, รั้ว, กระจก, กระเบื้องปูพื้น
ไล่ไปถึงมือจับประตู ที่แขวนผ้า และช่องส่องคนมาเยี่ยม
โอว เรียกได้ว่า ฉันขอดีไซน์เองทุกรายละเอียด
และทุกรายละเอียดก็เป็นบุคลิกเฉพาะของพี่เขาจริงๆ
เมื่อมารวมกันเป็นหลังเดียวนี่จินตนาการไปไม่ถึงจริงๆ ครับ

ได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่ง เขาบอกว่า ความรู้สึกที่ผมกำลังอึ้งนั้น
เป็นแค่ขี้เล็บของความรู้สึกเมื่อตอนที่ได้เห็นของจริง

ผมเชื่อว่า หลายคนที่มาเดินดูนิทรรศการนี้คงมี “สเปน”
เป็นประเทศในรายการต้องไปอีกหนึ่งประเทศ

null

เกาดี้ เป็นสถาปนิกคนสำคัญ (ที่สุด) ของสเปนในศตวรรษที่ยี่สิบ
ชีวิตของเขาคาบเกี่ยวอยู่ระหว่างกลายศตวรรษที่สิบเก้ากับ
เศษหนึ่งส่วนสี่แรกของศตวรรษที่ยี่สิบ ซึ่งเป็นช่วงที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลง
ทั้งทางด้านการเมือง, วัฒนธรรม, วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
รวมถึงศิลปะและสถาปัตยกรรมด้วย

เกาดี้ เป็นสถาปนิกที่โดดเด่นมากเรื่องโครงสร้าง ผลงานของเขา
นั้นหากจะจัดเข้าหมวดหมู่ก็เห็นจะยากสักหน่อย ไม่ค่อยจะเข้าพวกกับใคร
เขาออกแบบตั้งแต่บ้าน, แมนชั่น, พาเลซ, โบสถ์, โรงเรียน, สวน
รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์, พื้น, โคมไฟ, ประตู, หน้าต่าง ทุกอย่างที่จะ
ประกอบร่างขึ้นมาเป็นอาคารของเขา พี่แกเหมาหมด

null

พี่เกาเกิดวันที่ 25 มิถุนายน ปี 1852 ที่เมือง Reus
ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เขาใช้ชีวิตในวัยเด็ก
กับธรรมชาติและทะเล และเขาก็เริ่มคิดอะไรเป็นสามมิติ
ตั้งแต่ที่พ่อเริ่มสอน

พออายุได้ 17 ปี เกาดี้ก็ย้ายมาที่บาร์เซโลน่าเพื่อเทรนเป็นสถาปนิก
เริ่มจากการเป็นคนช่วยเขียนแบบ ก่อนที่จะได้มีส่วนร่วมในงาน
พัฒนาแบบ Ciutadella Park และก็สำเร็จการศึกษาในปี 1878

ตั้งแต่ช่วงแรก งานของเกาดี้ก็แตกต่างและแยกตัวออกห่างจาก
สถาปัตยกรรมที่มีอยู่ และการจัดวางองค์ประกอบแบบเดิมๆ
เขาคิดค้นวิธีการเฉพาะตัวและสร้างงานชื่อดังขึ้นมาสามชิ้นด้วยกัน
Casa Vicens, the Pavilions of Finca Guell (ในบาร์เซโลน่า)
และ El Capricho (ในโคมิลล่าส์) โดยมีส่วนประกอบหลัก
ที่โดดเด่นสามส่วนด้วยกัน คือ อิฐ, เซรามิกส์เคลือบ และโครงสร้างเหล็ก
รวมถึงส่วนตกแต่งต่างๆ ที่เป็นเหล็ก

null
Casa Vicens

null
the Pavilions of Finca Guell

ในช่วงต้นศตวรรษที่ยี่สิบ เมื่อโลกหมุนไปสู่ยุคโมเดิร์น
สถาปัตยกรรมแบบโมเดิร์นเริ่มแพร่หลาย แต่เกาดี้ก็ยังสร้างงาน
ในแบบของเขาต่อไป ไม่ไหวหวั่น “เกาดี้เป็นตัวของตัวเอง
เกาดี้ผิดตรงไหน” เขาสร้าง Casa Calvet, the Torre de
Bellesguard ในขณะที่อาคารแบบโมเดิร์นกำลังงอก

null
Casa Calvet

null
the Torre de Bellesguard

ขณะที่คนทั่วไปกำลัง “ตัดทิ้ง” แต่เกาดี้กลับ “โปะ”
ส่วนประดับต่างๆ เพิ่มเข้าไปอีก และยิ่งโลกรอบข้างนิยมเส้นตรง
เกาดี้ก็ยิ่งพยายามหาวิถีทางใช้เส้นโค้ง และองค์ประกอบ
ในรูปฟอร์มของธรรมชาติให้มากขึ้น

เกาดี้ใช้เวลาช่วงท้ายๆ ของชีวิตไปกับโครงการ
Sagrada Familia ซึ่งเขาเคยล้มเลิกไปเมื่อสิบปีก่อนหน้านี้
เขาเริ่มรับนักศึกษาสถาปัตย์เข้ามาและอธิบายโมเดล
ในแต่ละส่วนของโบสถ์ที่ยังไม่ได้สร้างให้ฟัง

null

แต่ในเดือนมิถุนายน ปี 1926 เกาดี้เสียชีวิตลงเสียก่อน
จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ และก็ได้จัดพิธีศพในโบสถ์
Sagrada Familia นี่เอง

null

ผมเห็นโลกมาน้อย และก็เปิดหนังสืองานสถาปัตย์ไม่มาก
จึงไม่รู้ว่ายังมีสถาปนิกคนไหนที่ทำงานในแนวทางใกล้เคียง
กับเกาดี้อีกหรือเปล่า เท่าที่รู้ ผมยังไม่เคยเห็น

งานของเกาดี้ นอกจากจินตนาการล้ำเลิศแล้วยังต้องอาศัย
ความมุ่งมั่นตั้งใจ ความอึดและความถึกในระดับอภิมหาถึก
เพราะการคิดรายละเอียดยุบยิบและโครงสร้างมหัศจรรย์
แบบนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ หรือต่อให้มีคนทำได้
ก็ใช่ว่าเขาเลือกที่จะทำ

เมื่อเกาดี้เสียชีวิต โลกจึงสูญเสียจินตนาการ ทรรศนะ ความคิด
มุมมอง รสนิยม และบุคลิกอันเป็นลักษณะเฉพาะไปพร้อมๆ กัน
ซึ่งนั่นเท่ากับว่า โลกได้สูญเสียอาคารมหัศจรรย์อีกหลายหลัง
ไปด้วย

คล้ายกับกนกพงศ์ ที่เราได้สูญเสียหนังสือดีๆ อีกหลายเล่ม
เรื่องสั้นดีๆ นวนิยายดีๆ อีกหลายเรื่องไปพร้อมๆ กัน

คนหนึ่งคนเสียชีวิตไป เขาได้หอบเอามุมมอง ทัศนคติ
บุคลิก ความคิด ความเชื่อที่เป็นของเขาติดตัวไปด้วย
และก็ใช่ว่า โลกจะมีคนที่มีส่วนประกอบต่างๆ แบบนั้น
อีกคนเสียเมื่อไหร่เล่า!

หลังจากเกาดี้ โลกก็ดูเหมือนจะไม่มีอาคารแบบนั้นอีกเลย
หลังจากเคิร์ธ โคเบน โลกก็ไม่มีเพลงของเนอร์วาน่า
หลังจากป๋าต๊อก โลกก็ไม่มีมุกขำบนหน้าบึ้งๆ นิ่งๆ แบบนั้นอีก

วันเสาร์ที่ผ่านมา ผมได้รู้จักเกาดี้มากขึ้นอีกนิด
และเชื่อว่าคนที่ไปดูนิทรรศการครั้งนี้คงมีอีกมากที่ไปค้นคว้า
เรื่องราวของเขาเพิ่มเติม

ระหว่างเดินออกมาจาก MoCA ผมรู้สึกว่า ผมเข้าใจคำว่า
“เสียดาย” ที่เขาอื่นชอบพูดกันเวลามีใครสักคนเสียชีวิตมากขึ้น

เกาดี้ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เราไม่อยากให้เขาตาย

null

หน้าแตกต่าง

สิงหาคม 25, 2007

นั่งทานอาหารไทยในร้านที่มีนางกวักยักษ์ตั้งไว้หน้าร้าน
เอลวิส, เสี่ยวเฉียน และผม เอร็ดอร่อยกันในร้านอาหารไทย
ที่ฟังชื่อแล้วชวนให้หัวเราะออกมา — “ร้านมาบุญครอง”

เอลวิสพูดว่า “เด็กเจเนอเรชั่นนี้แปลกดี สามารถหมกตัวอยู่ในห้องทั้งวัน
ไม่ออกไปเจอใคร เล่นเกมออนไลน์ เปิดเว็บ คุยเอ็ม ก็อยู่ได้แล้ว
แถมยังไม่เหงาอีกด้วย” ผมหันไปถามเสี่ยวเฉียนว่าเป็นจริงอย่างที่
เอลวิสบอกไหม เสี่ยวเฉียนพยักหน้าหงึกๆ ผมถามว่า “ไม่เหงาเหรอ”
เธอตอบ “จะเหงาอะไร เพื่อนมากมายในเกม ในเอ็ม และอินเตอร์เน็ต
ก็มีอะไรให้ดูมากมายเต็มไปหมด”

ผมหันไปคุยกับเอลวิสว่า “ดูท่านายไม่ค่อยติดอินเตอร์เน็ต”
เอลวิสตอบ “เราเกลียดคอมพิวเตอร์” เสี่ยวเฉียนรีบแย้ง
“โหย เชยมาก ไม่รู้หรือว่าในอินเตอร์เน็ตมีอะไรให้เล่นให้ดูให้ฟัง
เยอะแยะมากมาย เปิดไปเรื่อยๆ ก็เจอไม่รู้จบ”
ผมถาม “เวลากลับบ้านที่เปิดเน็ตทันทีเลยไหม?”
เสี่ยวเฉียนบอก “ทันทีที่ถึงบ้าน ก็ต้องวิ่งไปเปิดคอมฯ ก่อนเลย”
ผมบอก “อืม เราก็ไม่ต่างกัน”

เอลวิสลุกไปคุยโทรศัพท์ เรานินทากันลับหลัง
“เอลวิสนี่เชยมากๆ ไม่ค่อยรู้จักเว็บไซต์อะไรเล้ย หนังสือก็ไม่ยอมอ่าน
ไม่ค่อยรู้จักหนังสือ” ผมแย้ง “เฮ้ย เขาอ่านหนังสือเยอะจะตาย”
เสี่ยวเฉียนเถียง “หนังสือจีนนี่ถามไปกี่เล่มกี่เล่มก็ไม่รู้จัก”
ผมถาม “เธออ่านเยอะนักหรือไง” เธอยิ้ม “ไม่เยอะหรอก
แต่ก็เยอะกว่าเอลวิส” ผมหัวเราะ “ตอนอยู่ไทย เราอ่านเยอะพอสมควร”
เธอถาม “แล้วมาอยู่นี่ไปหาหนังสือไทยจากไหน อ้อ แต่ก็อ่านได้จาก
เว็บไซต์ใช่ไหม” ผมทำหน้างง “เว็บไซต์อะไร” เธอตอบ
“อ้าว ก็บีบีเอสไง” ผมงงหนัก “โอ้ย เชยจริงๆ ไม่รู้จักบีบีเอสเหรอ”
ได้เวลาถาม “บีบีเอส คืออะไร”

“บีบีเอส คือ เว็บไซต์ที่เป็นกระดานกลางให้คนเอาข้อเขียนของตัวเองมาแปะ
ไม่ว่าจะเป็นบทความ ความเรียง นวนิยาย ฯลฯ แล้วก็ให้คนเข้ามาอ่านได้
หากมีคนติดตามในจำนวนมาก บีบีเอสก็จะพิมพ์ออกมาจำหน่ายเป็นเล่ม
หากแปะแล้วไม่มีคนสนใจอ่านเท่าไร ก็อาจถูกลบทิ้งไป”

“ของฝรั่ง หรือ ของจีน” ผมถาม
“ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าอาจจะเป็นอินเตอร์เนชันนัล” เธอตอบ
(ใครรู้จริงฝากบอกกันด้วยครับ)

“มีคนเข้าไปอ่านเยอะเลย มีเว็บไซต์ทำนองนี้เยอะ
แปะเพลง แปะคลิป แปะประกาศหาคนไปเที่ยวด้วยกัน มากมาย”
“แล้วตอนหนังสือพิมพ์ออกมาแล้ว ยังเข้ามาอ่านได้ไหม”
“ตอนหนังสือพิมพ์เสร็จ เว็บไซต์จะลบทิ้งชั่วคราว
และเมื่อผ่านไปหกเดือน ก็จะนำมาแปะใหม่อีกครั้ง”

“บีบีเอสพิมพ์หนังสือออกมาหลายเล่มเลย” เธอว่างั้น
“แล้วนี่ตามอ่านเอาจากคอมฯ เหรอ”
“ก็มีบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะพริ้นท์ออกมาอ่าน”
แล้วเอลวิสก็กลับมาแจมพอดี เสี่ยวเฉียนรีบฟ้องความเชย
ของผมให้เอลวิสฟัง “เอ๋นี่เชยมากเลยนะ ไม่รู้จักบีบีเอส”
เอลวิสทำหน้าเหมือนได้ยินคำว่า “ปาล๋ำกั๋มโป๊ะ” คือไม่เคยมี
คำนี้อยู่ในสมอง แล้วก็เอ่ยปากถามหน้านิ่ง “เอ่อ บีบีเอส
คืออะไรเหรอ?” เสี่ยวเฉียนแทบจะล้มหงายเอาหัวฟาดพื้น
ร้านมาบุญครอง คงอนาถเต็มทีกับไอ้แก่สองคนนี้

“คิดว่าในอนาคตคนจะอ่านหนังสือจากคอมฯ หรือหน้าจอไหม?”
เอลวิสพยักหน้า “ชัวร์” เสี่ยวเฉียนส่ายหัว “ไม่มีทาง ทุกวันนี้
ก็ยังต้องพริ้นท์ออกมาอ่าน อ่านในจอนานๆ ไม่ไหว ปวดตา
และมีคนตั้งเยอะที่ไม่ชอบการอ่านจากหน้าจอ” ผมแย้ง
“ก็เพราะพวกเรายังเป็นคนในยุคเก่าน่ะสิ เกิดมากับกระดาษ
ยังไม่ชินกับพวกจอเรืองแสงทั้งหลาย ขนาดเราเกิดมาในยุคระหว่าง
กระดาษกับจอ ช่วงนี้เรายังชินและชอบการอ่านจากหน้าจอเลย
เราเชื่อว่าในอนาคต ข้อมูลที่เป็นกระดาษจะน้อยลง”

ตั้งแต่อพยพมาอยู่ไกลบ้าน ผมอ่านเรื่องต่างๆ จากเว็บไซต์มากขึ้น
ผมอ่านมติชนสุดสัปดาห์จากเว็บไซด์ด้วยความเพลิดเพลินใจ
และอ่านเร็วกว่าตอนที่อ่านในหน้านิตยสาร จะหงุดหงิดบ้างก็แค่
คอลัมน์ของคุณนิวัติ กองเพียร ที่ต้องรอโหลดรูป และบางทีก็โหลดไม่ได้!

เคยคุยกับพี่ๆ ที่เขียนหนังสือบางคนว่า อินเตอร์เน็ตทำให้พฤติกรรม
ในการอ่าน-การเขียนเปลี่ยนไป การเขียนอีเมล บล็อก และบันทึก
ในอินเตอร์เน็ต นำมาซึ่งการเคาะบรรทัดแบบเน็ตๆ คือ เคาะบ่อย
บรรทัดละสั้นๆ ย่อหน้าถี่ๆ (ที่กำลังอ่านกันอยู่นี้ก็มีบุคลิกแบบนั้น)
ซึ่งหลายคนที่ชื่นชอบหนังสือและวิธีการเขียนแบบเก่าจะหงุดหงิด
ผมอ่านเจออยู่บ้างเหมือนกันว่า มีบางคนไม่อ่านหนังสือของนิ้วกลม
เพราะรำคาญที่ชอบย่อหน้าบ่อย ซึ่งนั่นก็เป็นรสนิยมของใครของมัน
คงห้ามกันมิได้

นอกจากนี้ ด้วยความที่เรายังไม่ชินกับการจ้องจอมอนิเตอร์นานๆ
และเทคโนโลยีก็ยังไม่พัฒนาไปถึงขนาดที่จะทำให้หน้าจอนวลผ่อง
ราวกับกำลังจ้องกระดาษ เราจึงให้เวลากับการอ่านในเน็ตสั้นกว่า
การอ่านจากกระดาษ (นี่ก็เขียนยาวเกินความอดทนของสายตาแล้ว)

นั่นทำให้คนเขียนเองก็เขียนอะไรสั้นลง ข่าวในอินเตอร์เน็ต
จะตัดตอนและย่อความมาเฉพาะใจความสำคัญเท่านั้น
สำหรับการอ่านอย่างฉับไว ซึ่งในอีกแง่มุมหนึ่งมันก็เป็นอันตราย
และดูไม่รอบคอบ ไม่รอบด้าน เพราะไอ้ที่ว่าสำคัญนั้น
มันเป็น “สำคัญ” ของคนผลิตสื่อ เป็น “สำคัญ” ที่เขาเลือกมาให้เราอ่าน

ประกอบกับพฤติกรรมของคนเองก็สมาธิสั้นมากขึ้น
ความสนใจเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนโลกเปลี่ยนเนื้อหา
ทำได้ง่ายๆ แค่ “คลิก” ก็เข้าไปอยู่ในโลกอีกใบหนึ่งแล้ว
จากเครียดก็เปลี่ยนเป็นสนุก จากบันเทิงเปลี่ยนเป็นกีฬา สารพัด
บางคนก็เปิดหน้าต่างอ่านสลับกันไปมาสิบหน้าต่างก็มี

อีกอย่างที่เป็นเรื่องสนุกสำหรับการอ่านบนเรื่องต่างๆ ในอินเตอร์เน็ต
คือเมื่อเราอ่านไปเจออะไรสักอย่าง และอยากทำความรู้จักมันมากขึ้น
เราสามารถ “เสิร์ช” หรือคลิกลิงก์เชื่อมโยงเข้าไปในเรื่องนั้นๆ
และเรื่องนั้นๆ ก็มักจะพาไปสู่เรื่องโน้นๆ โน่นๆ นี่ๆ ไม่รู้จบ

ตอนที่เขียนหัวข้อ “หั่นเวลา” ผมแปลกใจอยู่เหมือนกันว่า
มีน้องหลายคนเลิกดูทีวี และใช้เวลากับอินเตอร์เน็ตมากขึ้น
ซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวผมเมื่อสิบปีก่อน (โอย นานจัง) นึกภาพไม่ออก
จำได้ว่าตอนนั้น หลังจากเตะบอลกับเพื่อนกลับมา ก็อาบน้ำอาบท่า
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาคนที่เรากำลังตามจีบ และกำลังรอแห้ว
จากเธอ คุยกันทางโทรศัพท์ คุยเสร็จก็วิ่งไปดูทีวี แล้วก็นอน
หนังสือหนังหาตอนนั้นยังไม่เคยคิดจะอ่านสักกะติ๊ด

เด็กยุคนี้ กลับบ้านมา อาบน้ำอาบท่า เปิดคอมฯ เข้าเน็ต
เล่นเกมออนไลน์ คุยเอ็ม เล่นแคมฟร็อก อ่านบล็อก เขียนไดฯ
อ่านข่าว หาข้อมูล ฟังเพลง โหลดภาพ อ่านเรื่องดาราเกาหลี ฯลฯ
ในเน็ตมีอะไรให้เที่ยวท่องมากกว่าทีวี เพราะเราเป็นคนกำหนด
เส้นทางเองว่าวันนี้จะไปไหน

โลกทุกวันนี้จึงเต็มไปด้วยความหลากหลาย ผมยังจินตนาการไม่ออก
ว่าถึงรุ่นลูกของเพื่อนผม (ขอยืมมันหน่อย ผมไม่ค่อยอยากมีเป็นของตัวเอง)
โลกของเราจะหลากหลายขนาดไหน และจะปนเปจนความแตกต่าง
จะพร่าเลือนไปได้ถึงเพียงไหน ยากเหลือเกินที่จะเกิดพี่เบิร์ด
หรือไมเคิล แจ๊กสัน คนใหม่ขึ้นในโลกยุคนี้ ยากที่จะสร้าง “กระแสหลัก”
เพราะโลกถูกซอยย่อยลงไปตามรสนิยมและความชอบของแต่ละคน
แต่ละกลุ่มที่ชอบอะไรคล้ายกันก็จับกลุ่มก้อนของตัวเอง
ยากที่จะสร้างกระแสให้คนแห่ไปชอบเหมือนๆ กันทั้งหมด เพราะทางเลือก
มันมีมากขึ้นมาก และเข้าถึงได้ง่ายเหลือเกิน

ที่ว่าพร่าเลือน ก็เพราะอินเตอร์เน็ตเชื่อมโลกเข้าด้วยกันอย่างง่ายดาย
ความเป็นตัวตน หรือลักษณะเฉพาะของแต่ละประเทศแต่ละพื้นที่
ถูกส่งต่อ แลกเปลี่ยน และผสมผสาน ในอัตราเร็วเท่าๆ กับ
ความไวของโมเด็ม สิ่งที่เกิดขึ้นที่อังกฤษ วันพรุ่งนี้จีนก็เห็น
และก็จุดประกายให้ทำอะไรสักอย่างส่งต่อไปที่ไทย ไทยก็ทำขึ้นใหม่
และอาจย้อนกลับไปที่อังกฤษ และย้อนไปย้อนมาไม่รู้จบ

โลกจึงกลายเป็น “ยำ” ชามใหญ่
ที่ไม่รู้ว่าจะ “เละ” หรือ “อร่อย”
แต่ดูแนวโน้มแล้วมันกำลังจะก้าวไปทางนั้น

โลกที่เต็มไปด้วยความหลากหลายอาจส่งผลร้ายและดี
สำหรับคนที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรก็จะมีพื้นที่ ขอบเขต
ที่ควบคุมได้ และใช้ความหลากหลายมาบันเทิงและ
สร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง แต่สำหรับคนที่ยังเคว้ง
อาจนำมาซึ่งความสับสน อันโน้นก็ดีอันนี้ก็ชอบ เพราะ
ในเมื่อไม่มีกระแสหลัก ก็ยากที่จะตัดสินจากตัวเองว่า
อะไรดี-ไม่ดี อะไรเท่-ไม่เท่ เมื่อเคว้งก็จะไม่แน่ใจ
และยิ่งเห็นเยอะก็ยิ่งชวนให้สับสนและปวดขมับ

สำหรับคนที่มีทางเส้นหลัก ความหลากหลายก็เหมือน
ดอกไม้ข้างทาง เอาไว้ดูเล่น เย็นๆ ใจ ไม่เก็บใส่ตะกร้าก็ได้
แต่สำหรับคนที่ยังอยู่ในระหว่างการเลือกเส้นทาง
ความหลากหลายเหมือนทางแยกจำนวนนับพัน
ไม่รู้จะก้าวเดินไปในทางไหนดี จะลองทางไหนก่อนดีหว่า

แต่สุดท้ายแล้ว คนเราก็มักจะหามุมเล็กๆ ในโลกใบกว้าง
แล้วซุกตัวเข้าไปในมุมที่อบอุ่นและปลอดภัย
มุมเล็กๆ ที่เรารู้จักมันดีที่สุด

โลกกว้างก็จริง แต่ใครบอกล่ะว่า เราจะต้องเห็น ต้องรู้จักมันทั้งหมด

เคยคุยกับพี่บอกอท่านหนึ่ง เธอบอกกับผมว่า
“เดี๋ยวนี้ ขอบฟ้าของพี่แคบเหลือเกิน”
ตามมาด้วยคำขยายความว่า “ทุกวันนี้ รู้แล้วว่าตัวเองชอบอะไร
และต้องการอะไร ไม่ได้อยากออกไปเห็นโลก ออกไปทำความรู้จัก
กับสิ่งโน้นสิ่งนี้อะไรให้มากมาย อยู่ในพื้นที่ของตัวเองก็มีความสุขแล้ว”

อินเตอร์เน็ตขยายขอบฟ้าให้กว้างออกไปมากนัก
ในขณะเดียวกันก็หดพื้นที่โลกจากที่เคยไกลให้ใกล้กันเข้ามา
ตามธรรมชาติและวันวัยของมนุษย์ เรามักอยากเห็นโลกให้มาก
ในวัยหนุ่มวัยสาว เก็บข้อมูลมากมายมากอง
แล้วค่อยๆ ร่อนตะแกรงซี่ถี่จนเหลือเฉพาะ “เม็ด” ที่เราสนใจจริงๆ

เราคงไม่มีเวลาให้กับทุกสิ่งบนโลก
“รู้บางอย่างในทุกสิ่ง รู้ทุกสิ่งในบางอย่าง”
ใครสักคนเคยพูดไว้ และผมจดมันใส่สมุดบันทึก

ถึงวันนี้ ผมคิดว่าสิ่งที่น่ารู้หนึ่งอย่างในหลายๆ อย่างนั้น
คือสิ่งที่ใกล้ตัวของเราที่สุด — ตัวเอง

ไม่ว่าโลกจะกว้างขนาดไหน จะสับสน วกวน หลากหลาย
จนอยากเดินไปเหมาเซียงเพียวอิ๊วมาราดขมับซักสามโหล
แต่ลองถ้าเรารู้ว่า เราชอบอะไรเพราะอะไร และไม่ชอบอะไร
เพราะอะไร เราต่างก็มีทางไป และมีเหตุผลให้ตัวเอง

เอลวิสเกลียดอินเตอร์เน็ต
เสี่ยวเฉียนเล่นเน็ตทั้งวัน ไม่ต้องออกจากบ้าน
ผมเล่นบ้าง ออกจากบ้านบ้าง
พี่บอกอบอกว่าขอบฟ้าแคบ
ผมบอกพี่แกไปว่า ผมกำลังรู้สึกว่ามันกว้างมาก
เอลวิสเชื่อว่าวันหนึ่งจะไม่มีกระดาษ
ผมเชื่อว่า อาจจะมี แต่จะน้อยลงมาก
เสี่ยวเฉียนเชื่อว่า ไม่มีทางเป็นไปได้

โลกของบางคนกำลังขยายตัว
โลกของบางคนกำลังหดตัวลง
ขอบฟ้าของบางคนกว้างใหญ่
ขอบฟ้าของบางคนแคบลง แต่ปลอดภัย

สิ่งหนึ่งที่เป็นเหตุผลให้ผมชอบอินเตอร์เน็ต
เพราะอินเตอร์เน็ตเป็นช่องทางให้ผมได้รู้จัก
และทำความเข้าใจเพื่อนร่วมโลกที่แตกต่าง
ไม่เหมือนในทีวีที่มีแต่ดารา คนมีหน้ามีตาและมีเงิน

ในไดอารี่ ในบล็อก ในเอ็มเอสเอ็น
เต็มไปด้วยผู้คนที่เปลี่ยวเหงา อ่อนแอ ขี้แพ้ ขี้โมโห
ขี้บ่น ขี้แย เข้มแข็ง แรงเยอะ จริงจัง และตลก
และอื่นๆ อีกมาก เวลาเข้าไปแอบอ่านก็จะได้เห็น
หรือกระทั่งการเหลือบไปอ่าน “คำห้อยเอ็ม” ก็สัมผัสได้

นอกจากนั้นเรายังได้เห็นความชอบความเชื่อ
และรสนิยมที่แตกต่างในจำนวนนับไม่ถ้วน
ทีวีอาจมีหนึ่งร้อยช่อง แต่เว็บไซต์ ไดอารี่และบล็อก
มีจำนวนนับล้าน เราจึงได้เห็นแฟชั่นใหม่ๆ
คลิปแปลกๆ เพลงที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ความเห็นที่แหวกแนว
โดยที่ไม่ต้องมีใครมาคัดมากรองมาตัดสินใจแทน

ในความหลากหลายอันชวนให้มึนนั้น
เอาเข้าจริงมันเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้
เพื่อเปิดใจออกกว้างๆ แล้วทำความเข้าใจเพื่อน
ที่หายใจด้วยกันอยู่บนโลก ยังมีความคิดเห็นอีกมากที่แตกต่าง
ยังมีคนอีกมากที่ชอบอะไรไม่เหมือนเรา

จริงอยู่ ท้องฟ้า ต้นไม้ ใบหญ้า นอกหน้าต่าง Windows xp
ก็สวยงามดีตามธรรมชาติ แต่ธรรมชาติในอินเตอร์เน็ต
ก็เป็นความจริงอีกข้อไม่ต่างกัน ธรรมชาติแท้ๆ ของชีวิต
ชีวิตที่เต็มไปด้วยความหลากหลายไม่รู้จบ
ได้หลบเข้ามามองธรรมชาติแบบนี้บ้าง ก็สวยงามไปอีกแบบ

พรุ่งนี้ไม่มี blog

สิงหาคม 23, 2007

ได้ข่าวแว่วมาว่ามีเครือข่ายอินเตอร์เน็ตบางเครือเข้า wordpress ไม่ได้
และได้ข่าวลือมาว่า wordpress ถูกบล็อก คือล้อมรั้วไม่ให้คนเข้ามาอ่าน
แถมยังลือต่ออีกว่า เพราะในนี้มีบล็อกยอดนิยมเขียนเกี่ยวกับคุณทักษิณ

หากเป็นจริงเช่นข่าวลือ ขอเว้นหนึ่งบรรทัดเพื่อไว้อาลัยให้กับการบล็อก blog
(………………………………………………………………)
หลังจากที่บล็อกยูทูปไปแล้ว ต่อจากนี้เราจะถูกบล็อกอะไรอีกบ้างหนอ?

“เข้า wordpress ไม่ได้อะ” อูมส่งเสียโวยวายมาด้วยความหงุดหงิด
“ใช้เน็ตของทีโอทีรึเปล่า ได้ข่าวว่าถูกบล็อก”
“เออ อาจจะจริง เพราะที่บ้านใช้ทรูยังเข้าได้อยู่”
อูมยังบ่นเรื่องการตามบล็อกเหมือนพ่อที่ตามเก็บหนังสือโป๊ลูก
อีกหลายประโยค แต่คิดว่า เรารู้กันสองคนน่าจะดีกว่า

“ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีบล็อก พี่จะไปเขียนที่ไหน?”
ผมนึกในใจ ก็เขียนที่บ้านเหมือนเดิมนี่แหละ แต่ก็ไม่ได้กวนน้องไป
“ส่งฟอร์เวิร์ดเมลทุกวันเลยดีไหม?”
“แล้วคนอื่นจะคุยด้วยยังไงล่ะ บล็อกมันมีข้อดีก็ตรงได้แลกเปลี่ยนกัน”
“ก็คงแลกเปลี่ยนกันลับๆ เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง”
“บล็อกนี่ดีนะ ทำให้คนกล้าเขียน กล้าแสดงความเห็น
แต่อีกหน่อยก็คงไม่ต้องเขียนกัน คงตามบล็อกไปถึงไดอารี่ด้วยเลย”
“หัวรุนแรงนะเรา” ผมแซว
“หุหุ” อูมขำแก้เขิน

ผมแกล้งทำเป็นนิ่งใส่อูมไปอย่างนั้นเอง
แต่ในใจก็คิดตามไปด้วย และก็พบว่า
หากพรุ่งนี้ไม่มีบล็อกเข้าจริงๆ
มันก็เหมือนบางสิ่งหายไปจากชีวิตเหมือนกัน
สำหรับผม อาจเหมือนใครมาขโมยห้องรับแขกไป
เหลือแค่ห้องกินข้าว ห้องน้ำ และห้องนอน

คือก็ยังดำเนินชีวิตต่อไปได้ตามปกติ
มีข้าวกิน มีน้ำอาบ มีที่นอนให้นอน
ผิดแปลกไปก็แค่ เวลาที่กลับบ้านมาไม่ได้นั่งคุยกับใครก็เท่านั้นเอง

ผมรู้สึกกับบล็อกของผมเหมือนห้องรับแขก
เพราะผมเอาความคิดที่อยากบันทึกมากองไว้ในห้องนี้
แล้วก็รอฟังว่าเพื่อนๆ ที่มาเยี่ยมบ้านจะสนทนาโต้กลับมาว่ากระไร

ขณะที่บางคนก็อาจรู้สึกกับบล็อกเหมือนห้องพระ
คือเข้ามาทำสมาธิสงบจิตสงบใจ นั่งคุยกับตัวเอง
สรุปสาระประจำวัน หายใจยาวๆ นั่งทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา
บันทึกข้อคิดดีๆ ที่ได้ใส่ในบล็อก เอาไว้กลับมาอ่านอีกหน
และก็ใจกว้างพอที่จะแบ่งปันให้คนอื่นได้เข้ามาเยี่ยม
ในห้องพระแห่งนั้นด้วย

สำหรับบางคน บล็อกก็เหมือนห้องเก็บของ
เก็บเรื่องราวทั้งร้ายและดีเอาไว้ ค่อนข้างส่วนตัว
แต่ใครอยากจะเปิดประตูห้องเก็บของมาดูของข้างใน
เจ้าของก็ยินดี ดูรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ก็ดูกันไป

สำหรับบางคน บล็อกก็เหมือนส้วม
คือเอาของเสียที่อัดอั้นทั้งวันมาเบ่งใส่ไว้ในบล็อก
เมื่อเปิดประตูเดินออกไป ก็สบายตัวสบายใจขึ้น

ในมุมของคนที่มาเยี่ยมเยียน
บางที การเข้ามาอ่านบล็อกก็เหมือนการโทรหาเพื่อน
ได้รับรู้เรื่องราว ไล่เลยไปถึงความคิดความรู้สึกของเพื่อนคนนั้น
ในวันนี้ ได้รู้จักมากกว่าการนั่งกินก๋วยเตี๋ยวด้วยกันในโรงอาหาร

เวลาที่คนเรานั่งลงเขียนอะไรสักอย่าง
สมองมักทำงานดิ่งลึกไปกว่าเวลาที่เราพูดจากัน
หากแต่ก่อนเราคุยกันทางโทรศัพท์กับเพื่อนซี้ทุกวัน
แล้วเดี๋ยวนี้เปลี่ยนมาอ่านบล็อกหรือคุยเอ็มเอสเอ็น
บางที เราอาจจะพบว่า เรารู้จักเพื่อนคนนั้นดีขึ้น
เพราะตัวหนังสือทำหน้าที่ดูดความในใจออกมาคาย
ได้มากกว่าน้ำลายและริมฝีปาก

บางอย่างที่อายที่จะพูด เรากลับพิมพ์ออกมาได้อย่างลื่นไหล

นั่นเป็นบล็อกของคนใกล้ชิด
แต่ก็ยังมีการแวะเวียนไปเยี่ยมบล็อกอีกประเภท
คือแวะเข้าไปฟังเขาพูด อ่านสิ่งที่เขาคิด เขาสรุป เขารวบรวมให้ฟัง
บล็อกที่มีสาระมีประโยชน์มากมาย บางทีก็เหมือนได้ดูรายการดีๆ
ได้อ่านนิตยสาร หรือ คอลัมน์ชั้นดี บล็อกแบบนี้ก็มีอยู่มาก

กระทั่งบล็อกที่ประกาศตัวว่าจะทำหน้าที่เปิดเผยความจริง
ในสิ่งที่สื่อกระแสหลักไม่พูด บล็อกแบบนี้ก็ช่วยทำให้
เรื่องที่ถูกปิดได้เผยตัวออกมาให้คนบางส่วนได้รู้บ้าง

สังคมแห่งบล็อกทุกวันนี้ไม่ใช่เล็กๆ
จริงอยู่ เราก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในโลกปกติในชีวิตประจำวัน
แต่ในบรรยากาศล่องหน ที่เรามองไม่เห็นนั้น
ก็เกิดชุมชนเล็กบ้างใหญ่บ้างมากมายที่โยงใยกันอยู่
มีการแลกเปลี่ยน พูดคุย และทำความรู้จักกัน
มีการแอบอ่าน แอบรู้ แอบดูอยู่ห่างๆ
แต่ก็มีชุมชนแบบนั้นอยู่จริงๆ

และบล็อกก็เริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของคนบางคน
คล้ายกับที่โทรทัศน์เคยเป็น คล้ายกับที่โทรศัพท์มือถือเป็นอยู่

อินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในชีวิตของคนมากขึ้นเรื่อยๆ
เร็วและแรงกว่าที่คิดเอาไว้มาก ตอนที่เกิดแผ่นดินไหวที่ไต้หวัน
แล้วอินเตอร์เน็ตล่ม หรือวันไหนที่อินเตอร์เน็ตในออฟฟิศติดขัด
ผู้คนจะรู้สึกราวกับมีใครเอาจุกคอร์กยัดรูจมูกหนึ่งเอาไว้

จะเป็นจะตายให้ได้
เหมือนแขนขาขาดไปอย่างปัจจุบันทันด่วน

คุยเอ็มก็ไม่ได้
อ่านบล็อกก็ไม่ได้
เมลอีกล่ะ
หารูปอีกล่ะ
โหลดรูปวาบหวิวอีกล่ะ
โหลดเพลงอีกล่ะ

ชีวิตของเราเข้าไปอยู่ในโลกล่องหนมากขึ้น
และทำท่าว่าจะมากขึ้นทุกวัน
ตาเราจับจ้องเข้าไปในจอคอมพิวเตอร์ (windows)
มากกว่าหน้าต่างในโลกความจริง
ต่อหนึ่งวัน เราจ้องเข้าไปในโลกล่องหนนี้กี่ชั่วโมงกัน?

“เมฆสวย ฟ้าใส ไม่มองออกไป ก็ไม่เห็น”
ไม่กี่วันก่อนผมตั้งชื่อเอ็มเอสเอ็นไว้อย่างนั้น

แปลกจัง ผมเริ่มต้นเขียนจากความตั้งใจว่า
จะมาแสดงทรรศนะด้านลบกับใครก็ตามที่ตั้งใจจะสร้างกำแพง
“บล็อก” ผู้คนออกจากชุมชนในพื้นที่ล่องหน
แต่เขียนไปเขียนมากลับกลายเป็นคนโหยหาโลกนอกหน้าต่าง
ไปเสียนี่!

หากพรุ่งนี้ไม่มีบล็อก เราก็คงมีเวลามองท้องฟ้าและก้อนเมฆมากขึ้น
ได้เวลาในโลกปกติกลับคืนมาบ้างบางส่วน แต่ก็น่าเสียดายสิ่งดีๆ
ที่มีในบล็อกทั้งหลาย ประโยชน์ใช้สอยต่างๆ นานาที่แต่ละคนใช้มัน
แตกต่างกันไป ทั้งเจ้าของและผู้มาเยี่ยม

ผมเกิดมาในโลกยุคระหว่าง
ระหว่างโลกปกติ กับ โลกล่องหน
และผมก็คิดว่า ผมอยากใช้ชีวิตที่มีสองโลก
และได้เลือกเองว่าจะใช้เวลากับโลกใบไหน
สั้น-ยาวแค่ไหนในแต่ละวัน

และสิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า
จริงๆ แล้ว โลกล่องหนที่ว่ามันไม่ได้ล่องหน
แต่มันมีตัวตนอยู่จริง

สิ่งนั้นก็คือ การบล็อกโลกล่องหนนั่นเอง
นับได้ว่า โลกล่องหนสามารถส่งผลต่อโลกปกติได้ไม่น้อย
พลังของมันทำให้ใครบางคนในโลกข้างนอกนั้น
ถึงกับต้องลงมือสร้างกำแพงล่องหนขึ้นมากั้นเอาไว้

ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีบล็อกจะเป็นอย่างไร?
ชีวิตก็ดำเนินไปตามปกติน่ะสิ
จริงหรือ?
ผมว่า ชีวิตทุกวันนี้ โลกขาดพื้นที่ล่องหนไม่ได้แล้ว

เหตุ+ผล+คน+จีน

สิงหาคม 22, 2007

หลังจากเสร็จจากงานนอกสถานที่
ผมกับเนี่ยลั่งก็เดินดุ่มๆ กุมมือกัน ใต้อร่ามเรืองของแสงไฟ
ไล่มาจากถนนส่านซีกระทั่งถึงถนนหนานจิงตะวันตก

เนี่ยลั่งถามถึงหนังสือ ว่าพิมพ์ออกมากี่เล่มแล้ว
เป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไรบ้าง เราคุยกันด้วยภาษาจีนปนอังกฤษ
จีนของผมอ่อนแอ อังกฤษของเนี่ยลั่งปวกเปียก
เราก็เลยน้ำลายเปียกหน้ากันทั้งคู่ นอกจากนั้นก็เมื่อยมืออีกต่างหาก
แต่ก็แอบดีใจที่ฟังจีนได้มากขึ้นพอควร แม้จะยังพูดติดๆ ขัดๆ
พูดคำนึกคำ นึกทีนึงก็นานเกือบนาที แล้วก็เพิ่งนึกออกว่า
คำนี้ไม่มีในคลังสมองนี่หว่า!

แต่ลองถ้าอยากคุยกันแล้ว ภาษาไม่ใช่อุปสรรคหรอก
เหมือนถ้าเจอ จางจื้อยี่ ตอนนี้ก็คุยรู้เรื่อง

เนี่ยลั่งไม่ได้สวยขนาดนั้น แต่ก็น่ารักพอกัน
เนี่ยลั่งเป็นชายมาจากฉงชิง เรียบๆ ง่ายๆ ไม่ทะเยอทยาน
พูดจาสุภาพอ่อนโยน แต่ก็มีความรู้เยอะพอดู

เนี่ยลั่งบอกกับผมว่า “โหย เขียนหนังสือเยอะขนาดนี้
ก็รวยล้นเลยดิ” ผมแอบมองแววตานึกในใจว่า
นี่มันกะให้กูเลี้ยงข้าวมื้อนี้ใช่ไหม? แล้วบอกออกไปว่า
“ไม่เลย คนเขียนหนังสือในเมืองไทยได้เงินน้อยจะตายไป
ตลาดหนังสือเล็กมาก และคนอ่านก็น้อยจะแย่”
เนี่ยลั่งทำหน้าไม่เชื่อ เหมือนยังเสียดายข้าวเย็นฟรีอยู่
“จริงเหรอ นักเขียนที่จีนเนี่ย รวยๆ กันทุกคน
ของเอ๋พิมพ์กี่เล่ม?” ผมตอบจำนวนไป “สามพัน-สี่พัน”
“ก็โอเคนะ ไม่น้อยหรอก” ผมบอกกับเนี่ยลั่งไปว่า
“ขายหนังสือในไทยน่ะ ขายได้พันเล่มก็เก่งแล้ว”
เขาหัวเราะ แล้วบอกว่า “ที่จีนเนี่ย คนชอบอ่านหนังสือ
และก็คนเยอะมาก หนังสือขายดีนี่พิมพ์กันทีห้าล้านเล่ม”
(!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!)
(ขอเว้นตกใจ (มาก) หนึ่งบรรทัด)
แล้วเราก็เดินข้ามถนน

“เอ๋รู้จัก อี้จงเทียน ไหม?” ผมนึกในใจ-ใครวะ? แล้วส่ายหัว
“อี้จงเทียนเป็นนักทำรายการโทรทัศน์ของ cctv ทำสารคดีเกี่ยวกับ
ประวัติศาสตร์ และเขาเขียนหนังสือด้วย เขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีน
ราชวงศ์ต่างๆ หลายๆ ยุคสมัย สนุกมาก ตลกด้วย คนชอบอ่านกัน
ขายดีมากๆ เลย” ผมพยักหน้าหงึกๆ ในใจก็นึกอยากอ่าน
“คนสมัยนี้ไม่ค่อยรู้ประวัติศาสตร์ ก็เลยอยากรู้ คนรุ่นเราๆ นี่รู้น้อยมาก
สมัยพ่อแม่ รุ่นลุงป้า รู้เยอะมาก ลุงเรานี่รู้เยอะมาก เพราะแต่ก่อนไม่มีทีวี
ไม่มีดีวีดี ไม่มีเพลย์สเตชั่น งานก็ไม่หนักเหมือนทุกวันนี้ มีเวลาว่าง
พวกเขาก็อ่านหนังสือกัน” ผมว่าเนี่ยลั่งชอบเชื่อมโยงเหตุผลโน่นนี่
เวลาคุยด้วยก็เลยสนุก เพราะเขาชอบหันมาถามว่า “คุณรู้ไหมว่าทำไม?”

“มีอีกคนชื่อ หยู่ตาน เขียนเกี่ยวกับจวงจื่อ คนนี้ก็อยู่ cctv เหมือนกัน
หนังสือเกี่ยวกับจวงจื่อก็ขายดีมาก คนยุคนี้ต้องการจวงจื่อ
ยุคนี้ผู้คนเหน็ดเหนื่อยกับการแย่งชิง จวงจื่อก็เลยฮ็อต” เขาเว้นจังหวะหายใจ
“คำสอนของจวงจื่อโดยพื้นฐานง่ายๆ เลยก็คือ คนเราไม่ควรเอาอะไร
ไม่ควรอยากได้อยากมีอะไรเลย สละทุกอย่าง” ผมถาม “นายชอบใช่ไหม?”
เขายิ้ม พยักหน้า อย่างอิ่มเอมในรสคำสอน “งั้นเอาเงินมาให้เรา”
เนี่ยลั่งหัวเราะ “ชอบน่ะชอบ แต่ปฏิบัติยาก” เขาคงนึกในใจ-แหมกู
เกือบพลาดให้ไอ้ตี๋ไทยนี่แล้วไหมล่ะ จากที่จะให้มันเลี้ยงข้าว
กลายเป็นมันมาไถเงินเราแทน ฮึ่ย!

ผมชวนคุยต่อถึงคัมภีร์เต้อเต๋อจิง “ขายดีไหม?” เขาตอบ “ไม่เลย
ขายไม่ดี เต้าเต๋อจิงเข้าใจยากกว่า” ผมถามต่อ “แล้วขงจื่อล่ะ?”
เนี่ยลั่งบอกว่า “ขงจื่ออยู่ในตัวทุกคนอยู่แล้ว มันแฝงอยู่ในชีวิตประจำวัน
ไม่ต้องซื้อมาอ่าน ขงจื่อสอนเรื่องสิ่งที่คนควรทำ-ไม่ควรทำ ต่างจาก
จวงจื่ที่สอนในสิ่งที่คนทุกวันนี้ลืมไป และโหยหา ก็เลยขายดีกว่า
แต่แฟนขงจื่อน่าจะเยอะที่สุดในประเทศจีนนะ”

“หนี่เสี่ยงชือเสินเมอ?” (คุณอยากกินอะไร?)
คนจีนชอบถามด้วยคำถามนี้เสมอ แล้วผมก็มักจะอ้ำอึ้งไม่มีคำตอบ
“อะไรก็ได้” ผมตอบแบบนี้ทุกที เคยถามเพื่อนคนหนึ่งว่า
“เป็นนาย นายจะตอบว่าอะไร?” เขาบอกว่า “ก็ฉงชิงไช่, กว่างตงไช่,
ซั่งไห่ไช่, ตงเป่ยไช่, ซื่อชวนไช่, หยูนหนานไช่, รื่อเปิ่นไช่, ฯลฯ”
อ้อ เขาต้องตอบกันแบบนี้นี่เอง แต่วันนี้ผมก็ยังตอบเหมือนเดิม
“อะไรก็ได้”

เนี่ยลั่งพาเดินเข้าร้าน “ตงเป่ยไช่”
“ตง” คือ ตะวันออก
“เป่ย” คือ เหนือ
“ไช่” คือ อาหาร
“ตงเป่ยไช่” ก็คือ อาหารอีสานคลาสสิคดีๆ นี่เอง

“อาหารที่เรากำลังจะกินกันนี่ชื่อตลกมาก
“ซ่าจู” แปลว่า ฆ่าหมู เป็นอาหารพิเศษของตงเป่ย
เพราะใช้วิธี “ตุ้น” คือใช้ไฟเบาๆ แต่ต้มนาน”
ผมว่ามันคล้าย “ตุ๋น” ในภาษาบ้านเรา บางทีอาจ
มีที่มาจากบ้านเขา-เดาเอา

“เอ๋รู้จักตงเป่ยไหม?” แหมท้าทายกันแบบนี้ก็เริ่มวาดแผนที่
กันเลยดีกว่า ผมเอานิ้วลากเส้นบนโต๊ะ ผิวมันของโต๊ะ
ถูกขีดเป็นรอยด้านรูปแผนที่จีน ว่าแล้วผมก็จิ้ม “ตงเป่ย”
ให้เนี่ยลั่งดู “เก่งมาก” เขาชม ไอ้บ้า! นี่มันคำพื้นฐาน
อยู่มาหกเดือน จำ ตง-หนาน-ซี-เป่ย ไม่ได้นี่ก็แย่แล้ว

ว่าแล้วเนี่ยลั่งก็เริ่มเล่าให้ฟังว่า ตงเป่ยมีจังหวัดอะไรบ้าง
เห็นว่าอยู่ใกล้รัสเซีย พื้นที่โล่งกว้างเยอะ แต่คนน้อย
หนาวจัด คนชอบดื่มแอลกอฮอล์แก้หนาว คนตงเป่ย
ดื่มเก่งมาก “ตู๊ตู๊ไง คนตงเป่ย” น้องสาวร่างเล็กคนหนึ่งที่เพิ่ง
ไปนั่งเล่นเกมดื่มเบียร์ด้วยกัน ดื่มเอาดื่มเอาไม่ยักกะเมาเสียที
ที่แท้ก็มีเหตุผลอยู่เบื้องหลัง “แต่ตู๊ตู๊ดูไม่เหมือนคนตงเป่ยเลย
คนตงเป่ยต้องตัวใหญ่ แข็งแรงมาก” ผมถาม “ทำไมล่ะ?”
เขาตอบ “เพราะแถวนั้นสัตว์ร้ายเยอะ ต้องต่อสู้ ชีวิตแถวนั้นไม่ง่าย”
เนี่ยลั่งมีเหตุผลให้กับทุกเรื่องเสมอ

เนี่ยลั่งตักซุปในชาม “ซ่าจูตุ้นไช่” ใส่ปาก แล้วบอกว่า
“อาหารเมนูเดียวกัน ที่ปักกิ่งกับเซี่ยงไฮ้ ไม่เหมือนกัน
ขนาดไม่เท่ากัน ปักกิ่งใส่ของเยอะ ที่นี่ให้น้อย”
ผมถาม “จริงเหรอ ทำไมล่ะ?” เขาตอบ “คนเหนือใจใหญ่
คนใต้ใจเล็ก” ผมถามต่อราวกับวิญญาณสุทธิชัย หยุ่นเข้าร่าง
“เหรอขรับ ช่วยชี้ชัดหน่อยได้ไหมขรับ ว่าเพราะอะไร
คนใต้จึงใจเล็กขรับ” เนี่ยลั่งหันหน้าหากล้องแล้วตอบว่า
“แต่ก่อนพื้นที่ส่วนใต้ของจีนเป็นพื้นที่ของคนรวย
ตอนนี้ก็ยังเป็นพื้นที่ของคนรวย คนรวยจะสนใจเงินเป็นอันดับแรก
อะไรที่นำมาซึ่งเงินสำคัญที่สุด” ซดซุปแล้วพูดต่อ
“คนเหนือพูดจาตรงไปตรงมามากกว่า คนใต้จะซับซ้อน
ใส่หน้ากากมากกว่า” ผมซดซุปบ้าง อร่อยดีทีเดียว ถามต่อ
“เหรอ แล้วคนฉงชิงล่ะ เป็นไง?” ก่อนที่จะตอบผล
เนี่ยลั่งลากไปที่เหตุก่อนเลย “ฉงชิงเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยภูเขา
ผู้คนต้องปีนป่าย เดินทางลำบากมาก คนฉงชิงเลยกลายเป็น
คนที่ชอบความเร็ว ทำอะไรเร็ว เร่งรีบ เพราะเวลามีน้อย
ต้องใช้สอยไปกับการเดินเขา” ผมหัวเราะ “เฮ้ย พูดจริง” เขาบอก

ฉงชิงมีสองชื่อ “เมืองภูเขา กับ เมืองแม่น้ำ” เพราะมีแม่น้ำเยอะเหมือนกัน
ผมบอกกับเขาว่า “งั้นนายก็คงเป็นคนแม่น้ำมากกว่าคนภูเขา”
ดูเขาไหลไปเรื่อยๆ อย่างกับมีดีเอ็นเอของจวงจื่อ

เราคุยไปถึงซินเจียง, ทิเบต, ฮาร์บิน, ซีอาน แต่ละสถานที่ก็น่าสนใจทั้งนั้น
เวลาคุยกับคนจีนจะจับได้ถึงความภูมิใจในความใหญ่และหลากหลาย
ของประเทศของเขา เอาเข้าจริง จีนมีครบเกือบทุกอย่าง ทะเลทราย,
ภูเขาสวย, เทือกเขาหิมะ, น้ำตกยักษ์, ชายหาด, แม่น้ำ, ทะเลสาบ
คนจีนมักจะบอกว่า เที่ยวจีนให้ทั่วก็เห็นครบทุกภูมิประเทศแล้ว

ผมบอกกับเนี่ยลั่งว่า ผมรู้สึกว่าคนจีนมีความรู้เยอะดี เวลาคุยกัน
มักจะลากโยงไปโน่นนี่ และพูดถึงประเทศตัวเองอย่างรู้ลึก
เขาบอกกับผมว่า “มันก็ไม่เสมอไปหรอก” ผมนึกถึงนิกกี้
“นิกกี้นี่ก็ความรู้เยอะมาก” เนี่ยลั่งบอก “ใช่ นิกกี้นี่ช่ำชองเรื่องภาษา”
(แหม สมเป็นก๊อปปี้ไรเตอร์) “แต่ตอนเรียนมหาลัยดันเล่นเยอะไป
ความรู้ก็เลยตกลงไป รู้ไหม ชีวิตช่วงมหาลัยที่นี่คือช่วงเวลาแห่งความสนุก”
ผมทำตาโต “เล่นกันอย่างเดียวเลยล่ะ เพราะชีวิตสมัยมัธยมโหดมาก
ต้องพยายามตะเกียกตะกายแย่งชิงเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ พอสอบเสร็จกัน
เริ่มเรียนในมหาลัยแล้วก็เล่นกันเต็มที่ อาจารย์มักจะบอกกับพวกเราว่า
เล่นกันไปเถอะ เรื่องอนาคตเอาไว้ค่อยคิดทีหลัง”

การตะเกียกตะกายเพื่อแย่งชิงที่นั่งในมหาวิทยาลัยมีชื่อของจีนนั้น
ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเอ็นทรานซ์ของบ้านเราเลย บางที ฟังดูจะ
โหดร้ายยิ่งกว่าด้วยซ้ำ พ่อแม่ให้ความสำคัญและกดดันลูกราวกับ
มันคือศาลไคฟงที่ตัดสินพิพากษาอนาคตเด็ก

จวงจื่อบอกว่า มนุษย์ไม่ควรอยากได้อะไร
แต่มนุษย์ก็มักจะอยากได้อะไรเสมอ
นอกจากอยากได้ ยังอยากมี อยากครอบครอง

“เอ๋ลองไปเดินที่ถนนฉางเล่อดูสิ มีร้านหนังสือฝรั่งอยู่ร้านหนึ่ง
น่าจะมีหนังสือของจวงจื่อ”
“อืม เอาไว้จะลองไปเดินดู อยากได้มาเก็บไว้สักเล่ม”

เศรษฐศาสตร์จากป๊อกกี้

สิงหาคม 22, 2007

null

ในซูเปอร์มาเก็ตที่ใหญ่หน่อย
ป๊อกกี้ อัลมอนด์ ครัช ขายในราคาเฉียดหกหยวน
ป๊อกกี้ เคลือบช็อกโกแล็ตปกติ สี่หยวน
ต่างกันอยู่สองหยวน ประมาณสิบบาท

นั่นหมายความว่า เงินสิบสองหยวน
เราจะได้อัลมอนด์สองกล่อง
แต่ได้รสช็อกโกแล็ตปกติตั้งสามกล่อง

รสช็อกโกแล็ตปกติแต่ละกล่องก็มีจำนวนแท่งมากกว่า
นับตามจำนวน ตีลังกาคำนวณก็ยังคุ้ม

แต่อย่ามานับตามหน่วยความอร่อยเชียว
เพราะอัลมอนด์ ครัช นั้น อร่อยเหาะ!
เมื่อช็อกโกแล็ตได้สัมผัสลิ้น ละลายไปไล้ผิวลิ้น
ฟันได้ขบเผาะเต๊าะเกร็ดอัลมอนด์
ตาก็หลับลงโดยอัตโนมัติ พริ้มเหมือนกำลังฝันดี
รูจมูกขยายกว้างสูดกลิ่นหอมของอัลมอนด์
เข้าไปผสมกับลมในปอด โอว…หอม

ทุกครั้งที่ยืนอยู่หน้าชั้นวางป๊อกกี้
ผมลังเล และต้องหักห้ามใจเสมอ
เกือบทุกหนที่ตัดสินใจหยิบรสช็อกโกแล็ตปกติใส่ตะกร้า
บางทีก็หยิบรสปกติห้ากล่อง แล้วก็กัดฟันหยิบ
แอลมอนด์ ครัช ที่กล่องดูหน้าตาไฮโซกว่าจม
หย่อนลงไปในตะกร้าหนึ่งกล่อง สนองความอยาก

ความแพงนั่นเองที่ถ่างระยะห่างระหว่างเราออกจากกัน
อัลมอนด์ ครัช กับ ผม

เมื่อวานเป็นวันแรกที่ผมหยิบอัลมอนด์ ครัช มาตั้งสองกล่อง
และหยิบแบบปกติมาแค่กล่องเดียว
ไม่มีอะไรมาก แค่อยากขบเกร็ดอัลมอนด์

จริงๆ แล้ว ป๊อกกี้ก็เหมือนหลายเรื่องในชีวิตประจำวัน
เหมือนกาแฟ เหมือนโอเลี้ยง เหมือนไวน์ เหมือนกางเกงยีนส์
อาจไล่เลยไปถึงเหมือนการงาน กระทั่งเหมือนคนรัก

เรื่องแพงหรือถูก ได้หรือเสีย มันอยู่ที่การจัดสรรล่ะมั้ง
ถึงวันนี้ ผมตั้งใจว่า หากอยากกินอัลมอนด์ ครัช ผมก็จะซื้อ
แต่ก็ต้องยอมรับว่าต้องกิน “ถี่” น้อยลง
หรือพูดอีกอย่างคือ นานหน่อยค่อยกินอีกที

ซื้อยีนส์แพงหน่อย ตัวที่อยากได้ แต่ใส่มันให้นานหน่อย
มันก็ไม่แพงอย่างที่ใครๆ เขาว่ากัน
ขณะที่ซื้อถูกๆ มา แต่ไม่ใส่ เพราะไม่ชอบ ใส่ไม่สวย
ก็ดูเหมือนจะแพงกว่า

แพง-ถูก เป็นเรื่องเฉพาะตัวของใครแต่ละคน
ครั้นใครอีกสักคนจะยื่นมือมาตัดสินก็เกรงว่าจะไม่เหมาะนัก
เพราะมันเป็นการเลือกที่ผ่านกระบวนการระหว่าง
หัวใจ สมอง และกระเพาะอาหารมาแล้ว

เลือกได้สองแบบ
หนึ่ง, อดใจเว้นของที่อยากเอาไว้ แต่มีเงินเหลือในกระเป๋า
สอง, ซื้อของที่อยากมาซัด แล้วค่อยประหยัดวันพรุ่งนี้

แต่ละวันอาจจะเลือกไม่เหมือนกัน
แต่ละคนก็เลือกไม่เหมือนกัน

แต่ผมว่า แพงกับถูก ไม่ได้อยู่ที่ราคาข้างกล่องป๊อกกี้
แต่อยู่ที่ตัวคนซื้อเองนั่นแหละ ว่าจะเคี้ยวอัลมอนด์ ครัช
แท่งหนึ่งให้นานขึ้นได้ไหม จะจัดการกับนิสัยการกินป๊อกกี้
ของตัวเองอย่างไร

เวลาหิว เราก็อยากซัดสักสามกล่อง ก็อาจเลือกแบบธรรมดา
เวลาท้องอิ่ม ขอแค่สองกล่อง แต่ได้เสพสุขจากเกร็ดอัลมอนด์

เพราะชีวิตยืดหยุ่น
ป๊อกกี้จึงมีหลากรสและหลายราคา

หั่นเวลา

สิงหาคม 20, 2007

“บีม” เข้ามาทักในเอ็มเอสเอ็น แล้วโยนคำถามใส่
“พี่ สั้นๆ เลย ขอคำถามหนึ่ง พี่แบ่งเวลายังไงในแต่ละวัน”
ผมบอกบีมไปว่า “ขอเก็บไปตอบในบล็อกนะ”
“ได้เลยพี่”

จริงๆ แล้วผมไม่คิดว่าจะเป็นคนที่เหมาะกับคำถามนี้
โน่น…คุณสรยุทธ, คุณปัญญา, ไชยา มิตรชัย,
พี่กอล์ฟน้องไมค์, พี่แดนน้องบีม, น้องอั้ม, น้องแพนเค้ก,
คุณสนธิ (ทั้งสองสนธิ) หรือกระทั่งคุณทักษิณ
น่าจะมีคำตอบที่ดีและน่าสนใจกว่าตั้งเยอะ
เพราะวันหนึ่งวันหนึ่งพวกเขาทำกิจกรรมอะไรได้ตั้งมากมาย
โดยเฉพาะสามคนหลังนี่น่าสนใจยิ่งว่ามีเวลาคิดแผนการ
อะไรต่อมิอะไรเพื่อประมือกันมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร

พนักงานออฟฟิศตัวดำๆ เอ้ย ตาดำๆ อย่างผม
เวลาว่างเยอะแยะไป ใช้ไม่ค่อยจะหมด (อันนี้เว่อร์ละ)
แต่เมื่อบีมถามมา ก็เห็นว่าน่าคุย (กับตัวเอง) เล่นๆ ดูสักตั้ง

ผมเพิ่งได้อ่านบทสัมภาษณ์ของ Lin Shumin
(น่าจะอ่านว่า หลิน ชูหมิน-เดาเอาครับ)
คิวเรเตอร์ของ Shanghai Biennale เมื่อปี 2006
หนึ่งในบทสัมภาษณ์เขาตอบว่า “เฉลี่ยแล้วผมนอนคืนละ
สี่ชั่วโมงครึ่ง ตั้งแต่อายุได้สามสิบปี นิสัยนี้เริ่มติดตัวผมตั้งแต่
ผมเริ่มหัดวาดรูป ผมเริ่มรู้สึกว่า การนอนเป็นเรื่องเสียเวลา–
เวลาที่น่าจะเอามาใช้สอยไปกับงานศิลปะ”

“การนอนเป็นเรื่องเสียเวลา” ฟังแรกๆ ก็ดูคมบาดตาบาดใจดี
แต่พอผ่านไปสักสอง-สามวินาที ผมก็รู้สึกอี๋ๆ นิดหน่อย
ผมว่ามันเท่ไปนิดหนึ่ง ก็เลยรีบส่ายตาไปมองรูปถ่ายของเขา
ไม่แก่เว้ยเฮ้ย นอนน้อยแต่ก็ยังหน้าเด็กและสดใส เอาไปโฆษณา
โฟมล้างหน้านีเวียฟอร์เมนได้อยู่ สงสัยจะมีความสุขกับการอดนอน

สมัยเรียนสถาปัตย์ อาจารย์สาวแกร่งท่านหนึ่งบอกกับพวกเราว่า
“พวกเธอกำลังจะถูกทำให้กลายพันธุ์ เธอกำลังจะกลายร่างไปเป็น
มนุษย์อีกสปีชี่ส์ เป็นสปีชี่ส์ที่ไม่ต้องนอนก็มีชีวิตได้ อึด ทรหด
และต้องการการพักผ่อนน้อยกว่ามนุษย์ทั่วไป”
ฟังแว่บแรกก็ดูน่าสนใจและทรงพลัง แต่แว่บหลังเพิ่งนึกได้ว่า
ชีวิตในคณะนี้มันคือนรกดีๆ นี่เอง

งานเขียนแบบและการคิดแบบทุกคืนฝึกให้พวกเรากลายพันธุ์จริงๆ
บางคนถึงทุกวันนี้ยังไม่สามารถนอนก่อนเที่ยงคืนได้ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น
และพวกเราชาวไอดี (ภาควิชาการออกแบบอุตสาหกรรม) ยิ่งอึดกว่า
พวกเพื่อนๆ ภาควิชาอื่นอีกมาก เราไม่หลับไม่นอนกันบ่อยไป
นั่งทอผ้ากันถึงพระมาทักทางวิทยุตอนตีห้าเกือบทุกวันในช่วงนั้น
จากอยากนอน กลายเป็นไม่อยากนอน จากรักหมอน กลายเป็นรักความเงียบ
และความเงียบก็มักจะค่อยๆ ย่องออกมาในช่วงดึกเสมอ

อาจารย์ไอดีท่านหนึ่งบอกกับพวกเราว่า “ไม่ต้องนอนให้มันมากนักหรอก
นอนวันละสามชั่วโมงนี่ก็เต็มที่แล้ว” นั่นไง ผมถึงไม่ค่อยตกใจกับชั่วโมง
การนอนโดยเฉลี่ยของคิวเรเตอร์หนุ่มคนนี้สักเท่าไหร่ เพราะอาจารย์ผม
นอนน้อยกว่าเขาเสียอีก

วันนั้นผมตรวจสุขภาพที่ออฟฟิศ คุณหมอดูผลแล้วบอกกับผมว่า
“คุณความดันต่ำนิดๆ นะ” ฟังไม่ค่อยเป็นมงคล เลยเอ่ยปากถาม
“แล้วจะตายไหมครับหมอ?” หมอยิ้ม “ตายเร็วแน่ เฮ้ย หมอล้อเล่น
ไม่มีอะไรหรอก ความดันต่ำนิดๆ นี่ดีนะ อ้วนยาก กินยังไงก็ไม่อ้วน
แล้วก็อึด เหนื่อยยาก ถึงทำงานเยอะๆ ก็จะไม่ค่อยรู้สึกเหนื่อย”

ทั้งหมดที่เล่ามาไม่เกี่ยวกับการแบ่งเวลาเลยสักนิด
นี่ก็ “กิน” เวลาเพื่อนบ้านที่เข้ามาอ่านไปหลายนาทีแล้ว
ยังไม่เข้าเรื่องเลย

ผมว่า ประโยคที่บอกว่า คนเรามีเวลาเท่ากันวันละยี่สิบสี่ชั่วโมง นั้น
ไม่ค่อยจะจริงนัก จริงๆ แล้วคนเรามีเวลาไม่เท่ากันเลยต่างหาก
ญาติของผมคนหนึ่งไม่ค่อยแข็งแรงจำเป็นต้องนอนมากๆ
เธอไม่เคยได้ดูละครหลังข่าวเลยสักเรื่อง ไม่เคยได้เห็นหน้า
พี่ป๋อ-ณัฐวุฒิ สะกิดใจ เลยสักหน บางคนอาจต้องเอาเวลาไปดูแลลูก
บ้างก็ดูแลพ่อแม่ บ้างก็ดูแลสามี ภรรยา บ้างก็ต้องดูใจแฟนหนุ่มแฟนสาว
บางคนก็ใช้เวลาไปกับการเปลี่ยนน้ำตู้ปลา แปรงขนหมา ให้อาหารแมว
เราต่างมีเรื่องให้ต้องควักเวลาออกมาใช้สอยต่างกันไป-ไม่เท่ากัน

เพราะเราไม่ได้ใช้เวลาอยู่คนเดียว
แต่เวลาของเรานั้นมีคนอื่นมาร่วมใช้สอยด้วย
บางคนก็มีคนมาช่วยใช้เวลาจนไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง
บางคนก็ไม่มีคนมาช่วยใช้ จนรู้สึกว่า พระอาทิตย์ขึ้นช้าจัง

กระทั่ง ความต้องการในการนอนของร่างกายแต่ละคนยังไม่เท่ากันเลย
แล้วเราจะพูดว่า คนเรามีเวลาคนละยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่ากันได้อย่างไร?

สำหรับคนที่สูงวัยแล้ว,
ยังจำพลัง ความมุ่งมั่น และขอบตาคล้ำๆ คู่นั้นได้ไหม? คู่ไหน?
ก็คู่ที่อ่านหนังสือยันตีสามตีสี่เพื่อที่จะตะเกียกตะกายวิ่งเข้ามหาวิทยาลัย
ที่ใฝ่ฝันตอนนั้นไงล่ะ ตอนสมัยที่พวกเราจะเอ็นทรานซ์กัน สำหรับผมแล้ว
ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ขยันที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต

จะเปรียบไปก็เหมือนอาการ “ยกตุ่ม” ตอนที่บ้านไฟไหม้
คือพอเห็นว่าไฟกำลังจะไหม้อนาคตอย่างที่ผู้ใหญ่เขาขู่กัน
ก็รีบเบ่งพละกำลังทั้งหมดที่มีมา “ยกตุ่ม” หนีไฟกันยกใหญ่
พลังตอนนั้นมากมายกว่าในช่วงเวลาธรรมดามากนัก

อย่างที่เขาบอกกัน ว่าที่จริงคนเรามีพลังมากกว่าที่เราใช้
บางตำราว่าไว้ว่า ปกติแล้วเราใช้พลังความคิดแค่สิบในร้อย
ของทั้งหมดที่เรามีเท่านั้นเอง

และก็คงจะแข็งแรงดี ถ้าเรา “ยกตุ่ม” ได้ตอนไฟไม่ไหม้
คือควักพลังมหัศจรรย์นั้นออกมาใช้ในยามปกติ

ถ้าตอนเอ็นท์เราทำได้ ไฉนเลยตอนนี้จะทำไม่ได้

ช่วงเวลาหลังเลิกงานเป็นช่วงเวลาสุดโปรดของผม
เป็นช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับตัวเอง หากนับเวลาตั้งแต่
ประมาณสองทุ่มไปจนถึงตีสาม (บางคืนตีสี่) นั่นเท่ากับว่า
จะมีเวลาเงียบๆ ให้ทำอะไรต่อมิอะไรอีกตั้งเจ็ดชั่วโมง
ซึ่งนั่นมันเท่ากับ “เวลางาน” ในตอนกลางวันเชียว!
เรียกได้ว่า หากมีคนจ้าง ก็สามารถทำงานได้อีกบริษัทหนึ่ง
เป็นงานภาคค่ำ

แต่แบบนั้นก็ดูบ้าพลังและคลั่งเกินเหตุ
ผมแบ่งเวลาส่วนตัวออกเป็นสองดุ้นใหญ่ๆ ครับ
ดุ้นแรกเป็นภาครับเข้า (input) ดุ้นที่สองเป็นภาคจ่ายออก (output)
หรือหากพูดภาษานักค้าของนอกก็ต้องบอกว่า import กับ export

ผมคิดเอาเองว่า คนเราจะจ่ายออกตลอดเวลาไม่ได้
เพราะยิ่งจ่ายยิ่งใช้มันก็ยิ่งหมดไปทุกวันทุกวัน และพอ “ของ” ในสมอง
มันแห้งๆ เหือดๆ เราก็จะรู้สึกเหือดๆ แห้งๆ ตามไปด้วย
จึงต้องคอย “รับ” ไอ้นู่นไอ้นี่มารดน้ำสมองให้แฉะๆ อยู่เสมอ
พอน้ำเริ่มแฉะ เริ่มเจิ่ง กระบวนการอยากระบายออกมันก็จะเกิดขึ้นเอง
โดยไม่ต้องมีใครมาบังคับ ยิ่งรับมามาก ก็ยิ่งอยากจ่ายออกไปมาก

แต่คนเราไม่ใช่กะละมังก้นรั่ว จะได้รับน้ำมาแล้วไหลออกทางรูที่ก้นเสียหมด
คนเราน่าจะคล้ายกับต้นไม้มากกว่า รับน้ำมาแล้วแปลงร่างมัน “ออกมา”
เป็นดอกผล — เป็นดอกผลที่ผ่านกระบวนการย่อยสารอาหารแล้ว
และนอกจากดอกผลที่เห็นได้ชัด เราก็ยังเก็บกักสารอาหารไปหล่อเลี้ยง
กิ่งก้านใบที่ค่อยๆ เติบใหญ่ไปอย่างช้าๆ

ในเวลาเจ็ดชั่วโมงนั้น ผมใช้เวลาหนึ่งในสามไปกับการรับ อีกหนึ่งในสาม
ไปกับการจ่าย และอีกหนึ่งในสามไปกับเรื่องไร้สาระ อาหารที่ไม่มีปุ๋ย

หนังสือ, หนัง, เพลง, นิตยสาร, บล็อก, เว็บไซต์ เป็นปุ๋ยสูตรปกติ

ในสเกลที่ใหญ่กว่าหนึ่งวัน การเดินทางออกไปเห็นของใหม่ๆ ในที่ไกลตา
ก็เป็นปุ๋ยเร่งใบเร่งกิ่งและเสริมความแข็งแรงให้รากที่ดีอยู่เหมือนกัน
เมื่อจ่ายออกไปมากแล้ว นานๆ ทีก็น่าจะมีโอกาสเดินออกไปรับกลับมาบ้าง

แต่เวลาทั้งหมดของชีวิตเราไม่ได้อุทิศให้กับงานงานงานเสียหน่อย
เฮ้ย คนนะไม่ใช่หุ่นอะสิโม่ (หุ่นอะสิโม่ยังเอาเวลาไปเล่นกับเด็กบ้างเลย)
เราก็ต้องเล่นกับเด็กบ้าง เอ้ย! ไม่ใช่ เล่นกับผู้ใหญ่บ้าง
เล่นกับคุณพ่อคุณแม่ อันนั้นแน่อยู่แล้ว

เวลาสามส่วนในชีวิตที่แบ่งกันง่ายๆ
คนที่ผูกพัน, การงาน และตัวเอง
หากแบ่งเวลาสามส่วนนี้ได้อย่างสมดุล ชีวิตก็คงเป็นสุข
ราวกับวางแผนครอบครัวกับไบรวู้ดมากาเร็ต

คงแล้วแต่ความสำคัญตามวันเวลา มาก-น้อย สลับสับเปลี่ยน
แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องเลือก ดุ้นแรกคงต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง
(หากจำไม่ได้ว่าดุ้นแรกคือดุ้นไหน กรุณาเหลือบไปมองย่อหน้าบน)

เพราะดุ้นแรกนั้นเองที่ทำให้ดุ้นที่สองและสามมีคุณค่า
ดุ้นแรกเป็นพลังให้เรามีเรี่ยวแรงทำดุ้นที่สอง
และทำให้ดุ้นที่สามอยากหายใจต่อไปทุกวันๆ
(หลายดุ้นจัง ฟังแล้วงง)

ผมพบว่าตัวเองมีเวลามากขึ้นตั้งแต่ปิดทีวี
ผมเลิกดูทีวีมาได้ปีกว่าแล้วล่ะมัง ช่วงนี้มาผลาญเวลาไปกับ
อินเตอร์เน็ตแทน แต่ผมว่าอินเตอร์เน็ตก็ยังมีข้อดีกว่าทีวีอยู่
เพราะเราไม่ได้ตกเป็นฝ่าย “ถูกกระทำ” คือได้แต่นั่งรับฟัง
รับชมอยู่ฝ่ายเดียว อินเตอร์เน็ตยังมีช่องทางให้ “โต้กลับ” บ้าง
และเมื่อมีการโต้กลับ สมองก็จะขยับตามไปด้วย
(อย่างการพิมพ์ความเห็นทิ้งไว้ก็ได้บริหารสมอง ว่าไหมครับ?)

ผมดูทีวีจนเป็นนิสัยมาตั้งยี่สิบกว่าปี คือดูเหมือนหายใจ
ไม่ได้คิด ก็แค่รู้ว่ามันคือกิจวัตรประจำวัน กลับบ้านมาต้องเปิด
แต่จริงๆ แล้ววันหนึ่งวันหนึ่งเราใช้จ่ายเวลาไปกับมันไม่น้อยเลย
และหากให้เวลากับมันน้อยลง (มันคงไม่งอน) เราก็น่าจะมีเวลา
มาทำในสิ่งที่อยากทำ แต่เก็บมันใส่ลิ้นชักเอาไว้จนราขึ้นได้อีกตั้งเยอะ

ยาว และกินเวลาเพื่อนบ้านมากเกินไปแล้ว
ขอบคุณบีมด้วยครับที่ทำให้ได้มานั่งทบทวนเรื่องการใช้สอยเวลาของตัวเอง

จะว่าไป คนเรามีเวลาไม่เท่ากัน ต้องการเวลาไม่เท่ากัน
และก็มีพฤติกรรมใช้สอยเวลาไม่เหมือนกันอยู่แล้ว

สำหรับบางคน การนอนเป็นเรื่องเสียเวลา แต่สำหรับบางคน
การนั่งเขียนหนังสือหรือนั่งวาดภาพนี่โคตรเสียเวลานอนเลย

บางคนอาจต้องการเวลามากขึ้น บางคน “ฆ่า” เท่าไหร่ เวลาก็ไม่หมดเสียที
บางคน วันหนึ่งเหมือนมีแค่แปดชั่วโมง ขณะที่บางคนเหมือนมียี่สิบห้า
บางคนอาจล่อเข้าไปยี่สิบแปด (คืออยู่ข้ามวันข้ามคืน)

จะใช้สอยอย่างไรก็เป็นเรื่องของใครแต่ละคน
เรื่องน่าสนใจมีอยู่แค่ว่า ทำไมเราไม่ค่อยมีเวลาให้กับสิ่งที่เราอยากทำ?
เป็นไปได้ไหมว่า เราใช้เวลาไปกับสิ่งที่เราไม่รักมากกว่าสิ่งที่เรารัก?