Archive for กรกฎาคม 25th, 2007

38 68 128

กรกฎาคม 25, 2007

ผมเดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบ โชคดีที่มือไม่ได้ถือเทียนเอาไว้
ไม่งั้นพุทธศาสนิกชนในบริเวณนั้นอาจมาเดินตามหลังแล้วช่วยกันเวียน
รอบพระอุโบสถ เอ้ย! รอบร้านตัดผมร้านนั้น

มันเป็นร้านตัดผมที่ดูดี ไม่แฟชั่น ไม่วัยรุ่นจนน่ากลัว ไม่เต็มไปด้วย
พี่กอล์ฟกับน้องไมค์กำลังถือไดรย์ ถือกรรไกร ไม่เต็มไปด้วยช่างตัดผม
ที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากการ์ตูนดรากอนบอล ย้อมหัวทองทั้งกบาล
และไม่เต็มไปด้วย “ไก่” ที่มีขนหัวสีรุ้ง เอ่อ ก็ไม่ได้ว่าอะไร หัวใครหัวมัน
แต่เวลาเจอร้านตัดผมที่เต็มไปด้วยผู้คนประเภทนี้ ขนบนหัวมักจะลุก
และคิดว่าตัวเองไม่เจหรือเค-ป๊อป เพียงพอที่จะก้าวเท้าเข้าไป
ให้พี่ๆ น้องๆ ในร้านเปลี่ยนลุค ยกเว้นแต่ถ้าเปลี่ยนลุคเป็นนักบวชเส้าหลิน
อันนั้นพอวางใจได้ แต่ก็กังวลนิดหน่อยว่าพี่แกจะย้อมหัวทองให้
เป็นอรหันต์ทองคำ!

ร้านนี้เรียบๆ สว่างๆ สะอาดๆ แต่ก็ดูทันสมัย ผู้คนที่มาตัดก็ดูโตๆ กันแล้ว
ห่วงก็แค่ราคา หลังจากที่ผ่านการโกนกบาลมาด้วยราคาสี่สิบหยวน
แล้วโดนเพื่อนหัวเราะเยาะว่านั้นเป็นราคาที่แพงเกินไป
คราวนี้จึงตั้งใจจะไม่ให้โดนขำ และนั่นเป็นเหตุผลให้เดินวนไปมาหลายรอบ

สุดท้ายจึงตัดสินใจ สูดหายใจเต็มปอดหอบหัวเน่าๆ เข้าไปถามราคา
หญิงสาวบอกว่า มีสามราคาให้เลือก สามสิบแปด, หกสิบแปด, ร้อยยี่สิบแปด
เราพยายามนึกภาษาจีนเพื่อจะถามว่ามันต่างกันตรงไหน แต่นึกไม่ออก
ไม่ใช่นึกไม่ออกหรอก มันไม่มีศัพท์ในกบาลใต้ทรงผมเน่าๆ นั้น
จึงถามไปเป็นภาษาอังกฤษ พนักงานเริ่มหวั่นใจ ทำหน้าเหมือนมนุษย์ต่างดาวบุกร้าน
มือไม้ก่ายเกาะ ตาส่ายเหมือนถูกจับได้ว่าขโมยทองจากร้านฮั่วเซ่งเฮง
พยายามมองหาใครสักคนมาช่วยให้พ้นไปจากรัศมีของมนุษย์ต่างดาวตนนี้
ผมจึงคิดว่าควรทำอะไรสักอย่างให้เธอหายใจได้คล่องขึ้น ก่อนจะล้มพับไป
ผมตัดสินใจยกมือขึ้นทำท่าบ้ายบาย จริงๆ ผมอยากสื่อว่า “ไม่เป็นไรครับ”
เธอคว้ามือมนุษย์ต่างดาวหมับ! เอาวะเสี่ยงเป็นเสี่ยงกัน อย่างน้อย
เราจะปล่อยมนุษย์หัวกบาลยุ่งออกไปจากร้านไม่ได้ ต้องได้เงินมันบ้างล่ะ
ว่าแล้วเธอก็ชี้ให้ดูหน้าตาช่างที่วางระดับไว้สามขั้น ผมแทบจะร้องออกมาว่า “อ๋อ”
แต่ก็เก็บอาการไว้ กลัวเธอจะขอตัวไปเปิดดิกฯ อีกว่า “อ๋อ” แปลว่าอะไร

อ๋อ มีช่างหลายระดับ พวกพี่ข้างบนนี่คงชนะมาหลายเวที
เคยผ่านกบาลดารามาหลายคน ส่วนพวกด้านล่างนี่ก็คงพวกกำลังโตวันโตคืน
แหม พลาดได้ไง คนใจดีอย่างเรา ต้องสนับสนุนน้องๆ ที่กำลังมาแรง
ผมตอบไปเต็มเสียง “สามสิบแปดหยวน” แล้วยิ้มอย่างคนใจดี
ทำหน้าคล้ายคุณหญิงคุณนายเวลาไปแจกของให้เด็กบนดอย

ช่างตัดผมของผมหน้าเด๋อเหมือนเด็กมหาลัยมารับจ๊อบ
แค่วันนี้น้องเขาไม่เสิร์ฟพิซซ่า แต่หันมาเสิร์ฟทรงผมแทน
เขาเดินมาด้วยความมุ่งมั่น แววตามั่นใจ ส่งเสียงนุ่มนวลเป็นภาษาจีน
ผมยิ้มแหะแหะ แล้วพูดภาษาอังกฤษสั้นๆ “เอาตรงนี้สั้นหน่อย”
เท่านั้นแหละ น้องแกก็หน้าตาตื่น กลืนน้ำลายลงคอสามอึกรวด
ตาสอดส่ายมองหาจตุคามฯ มาห้อย หากฉวยกระเทียมได้ก่อนก็คงใช้แทน
ไปพลางๆ กระทั่งผมลองเปลี่ยนคำพูดเป็นภาษาจีนเพี้ยนๆ ของผม
น้องแกจึงหายใจเข้าปอดลึกๆ และกลับมายืนใกล้ๆ ผมอีกครั้ง
ราวกับว่า ผมได้รับการพิสูจน์แล้วว่า หายจากเชื้อ H5N1

เราคุยกันรู้เรื่อง!
แต่ผมก็กลัวอยู่เหมือนกันว่า ถ้ากูจำสลับ สั้นเป็นยาว ยาวเป็นสั้น
หัวกบาลจะออกมาเป็นยังไง? เพราะที่สั่งไป ตรงกลางยาว ข้างๆ สั้น
ถ้ากลับกันคงเป็นทรงผมที่มีสไตล์ใหม่ดีไม่หยอก

หลังจากสระผม น้องแกก็ค่อยๆ จับกรรไกรมาแงบไปแงบมา
มือสั่นเหมือนกำลังตัดผมให้แฟนสาวในวันแรกที่ได้ไปเดทด้วยกัน
มันมองแววตาเลิ่กลั่กข้างหลังแว่นหนาๆ ของน้องชาย
แล้วอยากหันไปบอกว่า “โปรดใจเย็น น้องชายใจเย็นไว้ก่อน
อย่าใจร้อน เส้นผมกูไว้ตั้งนาน ค่อยเป็นไป ใช้กรรไกร
เก็บปัตตาเลี่ยนไว้ดีกว่า เกิดมึงตัดแหว่งขึ้นมา กูต้องโกน…”

น้องแกสั่น แต่ก็สั่นสู้ จังหวะเริ่มเข้าที่เข้าทาง
ท่าทางเริ่มทะมัดทะแมง แววตาเริ่มมั่นใจเหมือนนักมวยยกสาม
ที่ต่อยเข้าเป้าในยกหนึ่งยกสองมาแล้ว ผมเองก็เริ่มสบายใจ
ผ่อนคลายมากขึ้น ว่าแล้วก็หัวเราะพวกเลือกราคาร้อยยี่สิบหยวนในใจ
ฮ่าฮ่า สามสิบแปดหยวนสิเว้ย ให้โอกาสเด็กได้ดัง ตังค์อยู่ครบ

สระผมอีกรอบ เป่าผม ผู้ช่วยเด็ก (ซึ่งโคตรเด็ก คนนี้นี่เหมือนมัธยม)
ควักเยลยีกบาลให้ยุ่งๆ แล้วผายมือเหมือนลูกบ้านในหนังจีน
หากมีไดอะล็อก มันต้องดังขึ้นมาว่า “ส่งแขก”

ถึงผมไม่ใช่แขก แต่ผมก็ได้เวลาลุกออกจากร้านเสียที
ช่างตัดผมมองทรงผมไม่แหว่งของผมอย่างภูมิใจในฝีมือตัวเอง
แล้วส่งยิ้มให้ พูดออกมาสองพยางค์ “บ้ายบาย”
ผมยิ้ม “แท้งกิ้ว บ้ายบาย” ควักเงินจ่ายไปสามสิบแปดหยวน

ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีน้องแกถึงจะได้เลื่อนขั้นไปตัดกบาลละหกสิบแปดหยวน
แต่ผมว่าคงอีกไม่นาน เพราะเมื่อวานผมไปตัดมาอีกที
เลือกน้อง “นีโม่” คนเดิม คราวนี้ผมรู้ชื่อน้องเขาล่ะ
น้องแกยิ้มแฉ่งเลย จำกันได้ คราวนี้ตัดคล่องขึ้นเยอะ
แต่คราวที่แล้วเอ็งตัดดีกว่าว่ะ คราวนี้เอ็งคล่องไปหน่อย เกือบแหว่ง!

มันก็ไม่แพงหากเทียบกับร้านทำนองนี้ในเมืองไทย
เทียบเป็นเงินไทยก็ สองร้อยบาท

เพื่อนๆ ที่นี่ตัดกันทีราวกับเศรษฐีเทวดานั่งเมฆลงมาตัดพระเกศี
ล่อกันครั้งละสองร้อยกว่าหยวนเกือบสามร้อย
นั่นหมายถึงเฉียดหนึ่งพันห้าร้อยบาทเลยทีเดียว

ตัดไปก็นึกถึงร้านประจำที่เมืองไทย “ฉือไคว่” เท่านั้นเอง
“สิบหยวน” เป็นเงินไทยก็แค่ “ห้าสิบบาท” เองครับ!

รู้เล็กๆ 0005: เพื่อนร่วมงาน

กรกฎาคม 25, 2007

“งานทุกชิ้นมันไม่ง่ายหรอก ใครๆ ก็รู้
แต่การมีทีมที่รู้ใจกัน ช่วยกันทำอย่างที่สุด
มันก็ทำให้งานที่ยาก ง่ายขึ้น”

-หยาง เยียะ

รู้เล็กๆ 0004: ลูกน้อง

กรกฎาคม 25, 2007

“เวลาหาลูกน้อง สิ่งสำคัญคือความขยันและมุ่งมั่นตั้งใจ
เรื่องพรสวรรค์กับความสามารถไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก
โถ่ ครีเอทีฟคนหนึ่งมันจะเก่งกว่าครีเอทีฟอีกคนสักแค่ไหนกันเชียว”

-เอลวิส เชา

รู้เล็กๆ 0003: เขียนหนังสือ

กรกฎาคม 25, 2007

“เขียนหนังสือตอนเช้าจะตลกและสดชื่น
เขียนตอนกลางคืนจะเหงาและอ่อนไหว
ตอนกลางวันเขียนไม่ไหว มันร้อน!”

อีกสามวันโทรหาผมนะ สัญญานะ

กรกฎาคม 25, 2007

เคยมีพี่ที่รู้จักกันคนหนึ่งเคยไปป่วยที่ฝรั่งเศส
หลังจากนั้นพี่แกก็ขยาดการเดินทางไปต่างเมืองไปเลย
แกเล่าให้ฟังว่ามันเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายมาก
คุยกับหมอไม่รู้เรื่อง โรงพยาบาลก็ไม่รู้อยู่ที่ไหน
แถมยังต้องนอนขดอยู่คนเดียว ไร้คนดูแล

ผมไม่เคยป่วยที่ต่างแดน และรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาตลอด
กระทั่งที่มาอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ผ่านมาได้เกือบสี่เดือนก็ยังไม่ป่วย
น้ำมูกไหลนิดหน่อยตอนฤดูหนาวเท่านั้นเอง
ไหลมาได้หน่อยก็หยุดไหล เพราะมัน ‘แข็ง’ ไปเสียก่อน

แต่แล้วจุดอ่อนของร่างกายก็เล่นงานผมจนได้
เคยได้ยินมาจากที่ไหนสักที่ว่า ทุกคนมีจุดอ่อน
บางคนที่หัวใจ บางคนที่ขา บางคนที่ท้อง บางคนที่อวัยวะภายใน
แต่สำหรับผม จุดอ่อนนั้นอยู่ที่ คอ
จะเจ็บป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับคอบ่อยมาก
ต่อมทอนซิลนี่เพื่อนซี้กันเลย เอาอีกละมึง อักเสบอีกแล้วล่ะสิ!

“คุณมีไข้ ต่อมทอนซิลอักเสบ” ประโยคนี้นี่คุ้นหูมาก
หมอคลีนิกไหนก็พูดแบบนี้ จนผมพอจะวินิจฉัยโรคได้เองแล้ว
“แกมีไข้ เจ็บคอแบบนี้ ต่อมทอนซิลแกอักเสบแน่นอน”
กระทั่งพี่สาวจบวิชาเภสัชกร ผมก็มียาประจำเป็นแคปซูลสีเขียวสลับฟ้า
มีชื่อเล่นๆ ที่เราเรียกกันว่า Amoxy กินประจำ ยังกะเด็กติด m&m
ตอนเก็บข้าวของมาที่นี่ ก็ไม่ลืมที่จะติดมันมาด้วยกล่องใหญ่
ลืมได้ไง ของโปรด!

แต่โชคไม่เข้าข้าง ผมดันไปป่วยไกลยาที่เตรียมมา ไปป่วยที่ปักกิ่ง
เริ่มจากอาการโรคกระเพาะ หิวก็ปวด อิ่มก็ปวด ลามไปถึงท้องเสียอยู่สองวัน
แล้วพอท้องหาย ก็ไล่มาที่คอ คอเริ่มเจ็บ ผมเริ่มรู้ตัวและพูดกับเพื่อนซี้
“ไอ้ทอนซิลมึงอย่าเพิ่งมาอักเสบตอนนี้ รอกลับเซี่ยงไฮ้ก่อน ยาอยู่ที่นู่น”
แต่มันก็ไม่ฟัง มันเจ็บระบมขึ้นเรื่อยๆ จนวันรุ่งขึ้นว่าจะไม่ไปดูกำแพงเมืองจีน
แต่ก็ห้ามใจไม่ไหว ไอ้ทอนซิลก็เลยประท้วง อักเสบหนักเข้าไปอีก
(นี่ผมก็เดาไปตามเรื่อง ไม่รู้ว่าจริงๆ มันเกิดจากอะไร)

แล้วไอ้พวกไข้นี่ไม่รู้เป็นอะไร ชอบมาตอนดึกๆ
ตอนชาวบ้านเขากำลังจะนอนพักผ่อน ตัวจะร้อนขึ้นมาทันที
คอจะเจ็บเหมือนกลืนกระบองเพชรเข้าไป จริงๆ แล้วถ้าเป็นช่วงหน้าหนาว
สาวๆ คงอยากอยู่ใกล้ เพราะตกดึกแล้วจะเป็นผู้ชายที่อบอุ่นโคตร!
(ผมมั่นใจว่าอบอุ่นกว่าพี่นภ พรชำนิ หรือ พี่บอย ไตร ซะอีก)
แต่นี่มันหน้าร้อน!! ก็เลยนอนสั่นอยู่คนเดียว หงิก หงิก หงิก หงิก

แปลก ตัวร้อน แต่หนาวมาก

วันรุ่งขึ้นมีคนพาไปโรงพยาบาล ผมผ่านด่านกรอกข้อมูลไปได้
ไปนั่งรอคุณหมอในห้อง พยาบาลชาวจีนเดินเข้ามาพูดภาษาจีนใส่
ผมตอบไปเท่าที่รู้ เธอถามว่า ฟังได้ พูดได้ใช่ไหม
ผมส่ายหัวดิก ฟังไม่ได้ พูดไม่ได้ครับ
เธอวัดไข้ แล้วบอกกับผมเป็นภาษาอังกฤษ “คุณมีไข้นิดหน่อย
สามสิบเจ็ดจุดสี่องศาเซลเซียส” ผมสงสัย ทำไมมันน้อยจัง
เธอเดินจากไป บอกว่าเดี๋ยวหมอมา

หมอมาแล้ว หมอเป็นฝรั่ง ก็สบายใจขึ้นหน่อย
ไม่ต้องวินิจฉัยโรคกันเป็นภาษาจีน ให้ป่วยหนักขึ้นไปอีก
หมอถามว่าเป็นมานานยัง ก็ตอบไปว่า สองวัน
หมอตรวจคอ ตรวจชีพจร เอาหูฟังแนบลำตัว
บอกให้หายใจลึกๆ อยู่สองสามที
แล้วขออนุญาตเอาแท่งอะไรไม่รู้เล็กๆ แหย่เข้าไปเล่นๆ ในคอ
เราก็อนุญาต วันนี้ร่างกายของผมเป็นของหมอแล้วนี่ครับ
หมอแหย่เข้าไป ทำหน้าเพลิดเพลิน
ราวกับกำลังเอาคอตตอนบัทแหย่รูหูตัวเอง
แหย่เสร็จหมอเอามันออกมาดู แล้วนึกขึ้นได้ว่า
เฮ้ย! มันดูด้วยตาเปล่าไม่เห็นนี่หว่า
ก็เลยขอตัวไปส่องด้วยกล้อง “สิบห้านาทีเดี๋ยวหมอกลับมา”

ผมนั่งกลืนน้ำลายที่เหมือนกลืนตะปูอยู่สิบห้านาที
หมอมาแล้ว หมอพ่นเป็นภาษาอังกฤษยากๆ หลายประโยค
ผมจับได้แค่ว่า “ผลตรวจเป็น Negative”
ผมก็นึกในใจใหญ่เลยว่า ไอ้เนกาทีฟนี่มันดีหรือร้ายกันแน่
ถ้าตรวจเอดส์เป็นเนกาทีฟนี่มันดีใช่ไหม?
เอ…แต่เนกาทีฟ มันก็แปลว่า ด้านลบนี่หว่า
ก็เลยงง เพราะนอกจากนั้น ฟังแทบไม่ออกเลย
หมอพูดไวอย่างกับเห็นว่าหน้าตาผมเป็นลูกครึ่งอเมริกัน
ทั้งที่วันนั้นดูคล้ายชาวบ้านจากชนบทไกลโพ้นของจีนมากๆ

ผมจับอะไรไม่ได้อีกเลย ได้แต่สังเกตหน้าตาหมอ
ดูมีแววตาเป็นกังวล ผมจึงตัดสินใจเอ่ยปากถาม
“ทุกอย่างปกติดีใช่ไหมครับ?”
หมอตอบ “มันควรจะกลับมาเป็นปกติภายในสามวัน
อีกสามวันคุณโทรหาหมอนะ ถ้ามันดีขึ้น”
หมอทำหน้าทำตาจริงจังราวกับเรากำลังจะเซ็นสัญญาเลิกผลิตขีปนาวุธ
ผมพยักหน้าแบบไม่แน่ใจ อะไรวะ ต้องโทรหาหมอด้วยเหรอ?
ไม่เคยเจอหมอที่ตั้งใจดูแลผู้ป่วยขนาดนี้มาก่อน

ผมเพิ่งอ่านเจออีเมลจากเพื่อนชาวจีนเรื่องหวัดนก
แล้วก็นึกประมวลกับอีกคำที่จับได้ในคำพูดของหมอ
“ไวรัส” แล้วหมอก็ชี้ไปที่คอหอยของผม
เอ…หรือหมอจะไม่แน่ใจว่ามันเป็นไวรัสชนิดไหน
และมันจะหายภายในสามวันหรือเปล่า?
หรือผมจะตายภายในสามวัน ตอนนั้นฟุ้งซ่านมาก
ฟุ้งซ่านก็เพราะไอ้การที่หมอบอกให้โทรหานี่แหละ!

เราคุยกันจบ หมอชวนเดินออกจากห้อง
ส่งแววตาซึ้งราวกับว่าเราจะได้เห็นกันครั้งสุดท้าย
หมอยังชวนผมคุยว่า มาปักกิ่งนานแค่ไหนแล้ว
ผมตอบว่ามาทำงานเดือนเดียว จริงๆ อยู่เซี่ยงไฮ้
เขาถามว่า เป็นคนเซี่ยงไฮ้เหรอ?
ผมบอก เปล่า ผมเป็นคนไทย
เขาหันมายิ้ม ผมชอบเมืองไทยมากๆ
ว่าแล้วก็ส่งคำสั่งจ่ายยายื่นให้นางพยาบาล
แล้วหันมาจ้องหน้าผมอีกครั้ง
“โทรหาหมอนะ ถ้าดีขึ้น อีกสามวัน”
ผมพยักหน้างงๆ
“สัญญากับหมอนะ” แล้วยื่นมือมาทำสัญญา
ผมหัวเราะออกมาในโชคชะตา นี่กูจะต้องตายจริงๆ เหรอเนี่ย?
“โอเคครับ สัญญา” ว่าแล้วก็เขย่ามือกันหมอ
หมอส่งนามบัตรมาให้ ผมดูชื่อ — Joseph Bush
แล้วแกก็จดเบอร์โทรศัพท์ให้ แล้วเดินจากไป

ผมรับยามา รีบกินทันที
ทุกวินาทีต่อไปนี้มีค่ายิ่ง
ผมอาจมีเวลาแค่สามวัน

อาการย่ำแย่ขึ้นทุกวัน
จนเบื่อตัวเอง เมื่อไหร่แกจะหายซะทีวะ

กลับเซี่ยงไฮ้ ผมหยิบยา m&m ของผมขึ้นมาซัด
หวังว่าจะหาย แต่วันรุ่งขึ้นก็ยังปวดแสบเจ็บเช่นเดิม
เมื่อวานจึงให้เพื่อนพาไปร้ายขายยา ได้แคปซูลจีนมากิน
ดีกัวดินจีน และที่ขาดไม่ได้คือ ชวนป๋วยปีแปกอ ตราลูกกตัญญู

ผมซัดยาหมอโจเซฟ บุช, ยาพี่สาว, ยาดื่ม, ยาอม
หวังว่าพวกมันจะลงไปช่วยกันคนละไม้คนละมือ
นอนแต่เช้า ดื่มน้ำโคตรเยอะ ดื่มเป็นแกลลอน
ผมอยากหายกลับมาเป็นปกติแล้ว
ที่สำคัญ นี่มันก็ครบสามวันแล้วซะด้วย

เมื่อคืน ผมนอนหลับ ด้วยคิดว่า พรุ่งนี้อยากหาย
และจะส่งข้อความไปบอกหมอโจเซฟ บุช
ว่าผมยังมีชีวิต

วันนี้ตื่นมา แม้จะยังไม่หายดีสักเท่าไหร่
แต่มันก็ดีขึ้นมาก ผมไม่รู้ว่าด้วยฤทธิ์ยาตัวไหน
แต่ผมคิดแล้วว่าเดี๋ยวจะส่งข้อความไปบอกหมอ

นับจากที่เราเจอกัน วันนี้เป็นวันที่สี่